รถบรรทุก เป็นหัวใจสำคัญในระบบอุตสาหกรรมของวงการ ขนส่งทางบก และในระบบโลจิสติกส์ที่มีส่วนสำคัญมาก เพราะเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะขนส่งทางบก ถือว่าผู้ประกอบการนิยมเลือกมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น 4 ล้อ 6 ล้อ 10 ล้อ 12 ล้อ หรือ 18 ล้อ เป็นการขนส่งที่ สะดวก รวดเร็ว สามารถขนส่งได้ในปริมาณมาก และตอบสนองความต้องการด้านการขนส่งได้เป็นอย่างดี
แต่ถึงอย่างไร การขับรถบรรทุกนั้นต้องการทักษะและความระมัดระวังมาก เนื่องจากรถบรรทุกมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก ด้วยขนาดและความยาวของตัวรถ การจะขับรถบรรทุกได้อย่างมืออาชีพจึงไม่ใช่เรื่องง่าย คนขับรถบรรทุกต้องมีความรู้และทักษะ ความชำนาญ ที่เพียงพอในการดูแลและควบคุมรถให้ปลอดภัยทั้งในทางขับขี่และในกระบวนการขนส่งสินค้า บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด จึงนำเกร็ดสาระน่ารู้ มาแบ่งปัน เพื่อให้ทุกเส้นทางเป็นไปอย่างราบรื่น สะดวกและปลอดภัย
1.ตรวจสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ
การตรวจสภาพรถก่อนการเริ่มต้นเดินทางทุกครั้งเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้ขับรถบรรทุกได้อย่างปลอดภัย มั่นใจว่าทุกส่วน มีสภาพดีและพร้อมใช้งาน เช่น ตรวจสอบยางรถทุกเส้น ทดสอบระบบเบรก ทดสอบระบบไฟ เช็กไฟสัญญาณ แตร ที่ปัดน้ำฝน น้ำมันเครื่อง และอุปกรณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ปรับกระจกตรวจทั้งหมดเพื่อให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน
หากมีการขับรถขนส่งสินค้า อย่าลืมที่จะตรวจเช็กรักษาความปลอดภัยของสินค้าให้มั่นใจ ว่าใช้สายผูกหรืออุปกรณ์ล็อกอย่างแน่นหนา ทุกครั้งที่บรรทุกของอย่าลืมตรวจความเรียบร้อยของสิ่งของที่บรรทุก ต้องมีผ้าคลุมแน่นหนา และมีอุปกรณ์ล็อกเพื่อความปลอดภัย ผ้าใบคลุมจะต้องใช้ผ้าใบสีทึบ และยึดติดกับตัวรถให้มีความแข็งแรงพอที่ไม่ให้สิ่งของรั่วไหล ตกหล่น จนทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุก หรือรถกระบะก็ตาม หากฝ่าฝืน จะมีโทษปรับตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก โดยมีโทษปรับสูงสุด 50,000 บาท และหากเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ผู้ประกอบการจะต้องชดใช้ตามกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์อีกด้วยเพิ่มความปลอดภัยโดยการติดตั้งแผ่นสะท้อนแสง แผ่นสะท้อนแสง จะทำหน้าที่สะท้อนแสง กับไฟหน้าของรถคันอื่นๆ เพื่อช่วยในการมองเห็น ขณะขับรถบรรทุกในตอนกลางคืน เพิ่มความปลอดภัย โดยรถบรรทุกทุกคัน จะต้องติดตั้งแผ่นสะท้อนแสงให้ถูกตำแหน่ง และส่วนที่สำคัญอีกเรื่อง
กฎหมายรถบรรทุกที่เกี่ยวกับน้ำหนักของการบรรทุก และปริมาณน้ำหนักที่กำหนด ซึ่งหากฝ่าฝืน บรรทุกเกินน้ำหนักที่กำหนดไว้จะมีโทษทางกฎหมาย ให้จำคุกไม่เกิน 6 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- รถบรรทุกขนาด 4 ล้อ ต้องบรรทุกไม่เกินกว่า 9.5 ตัน
- รถบรรทุกขนาด 6 ล้อ ต้องบรรทุกไม่เกิน 15 ตัน
- รถบรรทุกขนาด 10 ล้อ ต้องบรรทุกไม่เกิน 25 ตัน
- รถพ่วง 6 เพลา 22 ล้อ ต้องบรรทุกหนักไม่เกิน 50.5 ตัน
2.ตรวจสอบความพร้อมของผู้ขับขี่
สิ่งสำคัญของการขับรถไม่ว่าจะขับรถประเภทไหนก็ตามจำเป็นที่สุดต้องมีใบขับขี่เพื่อเป็นไปตามข้อกฎหมาย กรมขนส่งทางบก ซึ่งจะออกให้กับบุคคลที่ผ่านการอบรมและสอบภาค ทฤษฎีและปฏิบัติ ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร ป้ายจราจร และแนวทางในการขับขี่บนท้องถนนได้อย่างปลอดภัย โดยทุกคนต้องผ่านการทดสอบข้อเขียนและการสอบขับรถภาคปฏิบัติ เพื่อเป็นการยืนยันว่าเรานั้น มีความสามารถมากพอในการขับรถบรรทุกตามที่มาตรฐานกำหนด เพื่อผู้ขับขี่รถจะขับขี่ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุกับผู้ที่ใช้รถ ใช้ถนนคนอื่นๆได้
และสำหรับผู้ขับรถบรรทุกต้องมีใบขับขี่ ท.2
ใบขับขี่ประเภท 2 คือ ใบอนุญาตการขับขี่ที่สามารถขับรถได้ทุกประเภทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สามารถใช้ขับรถได้ทั้งรถส่วนบุคคลและรถสาธารณะ เช่น รถบรรทุกหกล้อ รถตู้ รถเก๋ง กระบะ หรือรถประเภทอื่นๆ เพื่อประกอบธุรกิจขนส่งในอุตสาหกรรมต่าง สำหรับรถสาธารณะป้ายทะเบียนสีเหลือง จะเป็นใบอนุญาตการขับขี่เพื่อการขนส่งทุกประเภทที่ใช้ในเชิงพาณิชย์
3.รักษาระยะห่าง
ผู้ขับขี่ควรคำนึงถึงการรักษาระยะห่างระหว่างยานพาหนะคันอื่นๆ จงจำไว้ว่า ยิ่งผู้ขับขี่ขับรถมีระยะห่างระหว่างรถของเรากับยานพาหนะคันอื่น ๆ มากเท่าไหร่ผู้ขับขี่ก็จะยิ่งมีเวลาในการมองเห็น สังเกต ตัดสินใจ และตอบสนองต่ออันตรายที่เกิดขึ้น ขณะขับขี่มากขึ้นเท่านั้น
เคล็ดลับการรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย
- รักษาระยะห่างระหว่างรถของเราและยานพาหนะคันอื่นๆ (ด้านหน้า ด้านข้างและ ด้านหลัง)
- กะระยะช่องว่างที่ปลอดภัย
- ควบคุมความเร็วให้เหมาะสม (ปรับความเร็วให้เหมาะสมกับสถานการณ์เมื่อผู้ขับขี่เข้าใกล้สถานที่ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดอันตราย)
การรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าควรเว้นอย่างน้อย 3-6 วินาที ยิ่งในกรณีที่รถบรรทุก บรรทุกของหนักจากน้ำหนักสิ่งของที่บรรทุกมาด้านหลังทำให้รถเกิดแรงส่งค่อนข้างสูง จึงจำเป็นต้องมีระยะห่างจากการเบรกที่เพียงพอ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุกรณีเบรกกะทันหัน ดังนั้น อย่าลืมให้ความสำคัญกับการตรวจสอบระบบเบรก และบรรทุกน้ำหนักตามที่กฎหมายกำหนดที่ทาง บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว
4. เลือกเส้นทางที่เหมาะสม มั่นใจทั่วไทย รถใช้ GPS
เลือกเส้นทางที่เหมาะสมและปลอดภัยโดยติดตั้ง GPS จุดประสงค์การติด GPS เพื่อทราบถึงข้อมูลจราจรปัจจุบัน ข้อมูลสภาพถนน และข้อมูลอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อการขับขี่คือสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ประกอบการขนส่งหรือบุคคลทั่วไปสามารถติดตามและควบคุมพฤติกรรมการขับรถของพนักงานขับรถได้ แบบเรียลไทม์ (Real time) เช่น ความเร็วที่ใช้ เส้นทางที่ใช้ ระยะทาง ตำแหน่งที่รถวิ่งอยู่ ชั่วโมงการขับขี่รถและการจอดพักรถ ฯลฯ
ปัจจุบันการติดตั้ง GPS เป็นการบังคับใช้จากกรมการขนส่งทางบกโดยมีการกำหนดให้ รถเมล์หรือรถทัวร์ (รถโดยสารสาธารณะ), รถลากจูง, รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ทุกคันจะต้องติดตั้งด้วยระบบ GPS เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล กับศูนย์บริหารจัดการเดินรถของภาครัฐ ทำให้สามารถติดตามพฤติกรรมการขับขี่ เช่น การใช้ความเร็วในการขับขี่, เวลาในการเดินรถ รวมถึงพิกัดของตัวรถ หากไม่ติดตั้ง หรือไม่ดูแลรักษาสภาพเครื่องให้ส่งสัญญาณ GPS ได้ตามปกติ ถือว่ามีโทษ ปรับตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท และจะไม่สามารถต่อทะเบียนรถคันดังกล่าวได้
การใช้ข้อมูลจาก GPS ของรถที่ได้ จะทำให้ผู้ประกอบการรถสาธารณะสามารถนำไปบริหารการเดินรถหรือขนส่งให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น วางแผนกำหนดระยะทางวิ่งรถให้สั้นลง เพื่อประหยัดน้ำมัน ลดต้นทุนการขนส่ง พัฒนาระบบโลจิสติกส์ (Logistics) ลดการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม GPS ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับการขับขี่ สร้างพฤติกรรมการขับขี่ที่เหมาะสมและปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้
5. จุดบอดของรถบรรทุก
สิ่งที่ควรคำนึงและข้อควร ระมัดระวัง 4 จุดบอดของรถบรรทุก อันตรายที่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ ควรหลีกเลี่ยง เพื่อลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัยให้ตัวเรา และผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ใกล้พื้นที่จุดบอดรถบรรทุกในทุกกรณีเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย
- จุดที่ 1 ด้านหน้าของรถบรรทุก สิ่งสำคัญที่ต้องระวังคือ “การเว้นระยะปลอดภัย เผื่อระยะเบรกของรถบรรทุก”
ไม่ควรขับรถอยู่พื้นที่ด้านหน้าในระยะประชิด หากอยู่ในระยะประชิด ผู้ขับรถบรรทุกอาจมองไม่เห็นรถด้านหน้า เนื่องจากความสูงของตัวรถ อาจบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น เราจึงควรหลีกเลี่ยงจุดเสี่ยงการขับรถที่อยู่ในพื้นที่ด้านหน้าของรถบรรทุก และผู้ขับขี่รถบรรทุกจึงควรเว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้า 3-4 ช่วงคันของรถยนต์เพื่อช่วยในการมองเห็นในระยะที่เหมาะสม
- จุดที่ 2 ด้านขวาของรถบรรทุก จุดนี้คนขับรถบรรทุกจะไม่สามารถมองเห็นรถที่วิ่งขนาบข้างด้านขวาได้เนื่องจากความสูงของตัวรถบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น โดยผู้ขับรถบรรทุกจะเห็นก็ต่อเมื่ออยู่ในรัศมีของกระจกมองข้างเมื่อรถบรรทุกต้องการเลี้ยวเปลี่ยนช่องทาง และมองไม่เห็นรถของเราในจุดนี้ ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เราขับรถให้เลยหน้าเขาหรือเทียบเท่าหน้ารถ เพื่อช่วยในการมองเห็นให้ชัดเจนและลดอุบัติเหตุได้
- จุดที่ 3 ด้านซ้ายของรถบรรทุก จุดนี้ถือว่าเป็นด้านหรือ พื้นที่อันตรายที่สุด เพราะเป็นมุมมองที่คนขับรถบรรทุกมีทัศนวิสัยแคบมาก ด้วยระยะของกระจกมองข้างด้านซ้ายที่อยู่ห่างกับตัวคนขับรถ ควรหลีกเลี่ยงการขับรถขึ้นมาชิดบริเวณพื้นที่ในจุดนี้ ดังนั้นผู้ใช้รถใช้ถนนจึงควรระมัดระวังให้มาก หากมีคนขับรถอยู่พื้นที่ส่วนนี้ให้รีบแซงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หรือเป็นไปได้ก็ควรหลีกเลี่ยงการขับรถขึ้นมาชิดบริเวณพื้นที่ในจุดนี้
- จุดที่ 4 ด้านหลังของรถบรรทุก ไม่ควรขับรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ตามหลังบรรทุก เพราะเป็นจุดที่คนขับรถบรรทุกก็จะไม่เห็นด้านหลัง อีกทั้งยังมีสินค้าหรือตู้คอนเทนเนอร์อยู่ด้านหลัง ทำให้ความสามารถการมอง
“ กระจกมองหลังไม่สามารถมองเห็นด้านหลังของรถได้ ”
ดังนั้นผู้ที่ขับรถตามหลังรถบรรทุกจึงควรเว้นระยะห่างของรถไว้อย่างน้อย 20-25 คันของระยะรถ เพื่อระยะความปลอดภัย เผื่อมีการเบรกกะทันหัน และการถอยหลังของรถบรรทุก
นี่คือเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ บางส่วนที่ทาง บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด มาแนะนำ ผู้ใช้รถใช้ถนนหรือแม้แต่ผู้ขับขี่ก็ไม่ควรมองข้าม เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียและลดการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อชีวิตตนเอง และเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน