บทความและความรู้


ส่วนควบรถยนต์ คืออะไร สำคัญอย่างไร ?

ขับขี่รถยนต์ถูกกฎหมายอุปกรณ์ที่ต้องมีติดรถมีอะไรบ้าง การขับรถให้ถูกต้องตามกฎหมายนอกจากต้องมีใบอนุญาตขับขี่ รู้กฎจราจร รู้จักมารยาทในการใช้รถใช้ถนนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและเชื่อว่าเจ้าของรถหลายคนยังขาดความรู้ความเข้าใจตรงนี้อยู่ นั่นก็คือเรื่องของส่วนควบอุปกรณ์รถยนต์นั่นเอง เพราะกฎกระทรวงฯ พ.ศ. 2551 ระบุว่า รถยนต์ต้องมีส่วนควบครบตามกฎหมายกำหนด หากไม่มี พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ถือว่าเป็นรถยนต์ที่ไม่มีประสิทธิภาพในการขับขี่ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท   อุปกรณ์ส่วนควบรถยนต์ มีอะไรบ้าง ? กฎกระทรวง เรื่อง กำหนดส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์สำหรับรถ พ.ศ. 2551 ได้ระบุไว้ใน ข้อ 3 รถยนต์รับจ้าง, ระหว่างจังหวัด, รถยนต์รับจ้าง, รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง, รถยนต์บริการ และรถยนต์ส่วนบุคคล ต้องมีและใช้ส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์สำหรับรถอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ 1.โครงสร้างและตัวถัง ต้องอยู่ในสภาพแข็งแรง ปลอดภัย รับน้ำหนักได้เต็มอัตราบรรทุก 2. เครื่องกำเนิดพลังงาน ขับเคลื่อนด้วยความเร็วเหมาะสมในอัตราบรรทุกเต็มอัตรา                                                                                                                                                                                  3. ระบบส่งกำลัง ส่งกำลังรถขณะที่มีน้ำหนักเต็มอัตราบรรทุกได้ปลอดภัย 4. ระบบบังคับเลี้ยว คล่องตัว ปลอดภัย 5. ระบบห้ามล้อ ลดความเร็ว/หยุดนิ่ง อย่างปลอดภัย ติดตั้งในตำแหน่งเหมาะสม รวมถึงหยุดรถขณะจอดได้สนิท 6. คันเร่ง ระบบกลไกสมบูรณ์ ปลอดภัย 7. ระบบรองรับน้ำหนัก รับแรงสั่นสะเทือนในขณะที่มีน้ำหนักเต็มอัตราบรรทุก 8. ระบบเชื้อเพลิง เก็บและส่ง เชื้อเพลิงได้อย่างปลอดภัย 9. ระบบไฟฟ้า 10. ระบบไอเสีย 11. กันชน ด้านหน้าและด้านท้าย 12. ยาง 13. กงล้อ 14. บังโคลน 15. ประตู 16. กระจกกันลม 17. อุปกรณ์ลากจูง 18. อุปกรณ์ต่อพ่วง 19. อุปกรณ์ปัดและฉีดทำความสะอาดกระจก 20. อุปกรณ์มองภาพ 21. ที่บังแดด 22. แตรสัญญาณ 23. มาตรวัดความเร็ว 24. เข็มขัดนิรภัยและจุดยึดเข็มขัดนิรภัย 25. เครื่องหมายหรือสัญญาณแสดงการทำงานส่วนควบ 26. ที่นั่งผู้ขับรถและผู้โดยสาร ติดตั้งอย่างมั่นคงแข็งแรง 27. พนักพิงศีรษะ 28. อุปกรณ์ส่องสว่างทุกจุดทั้งภายในและภายนอกรถ                                                                                                                                                                             ทั้งหมดดังกล่าวคืออุปกรณ์ส่วนควบของรถยนต์โดยสารที่กฎหมายบังคับว่าต้องมีและต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน หากมีการดัดแปลงสภาพ หรือมีอุปกรณ์ส่วนใดส่วนหนึ่งไม่อยู่ในสภาพใช้งาน การนำรถออกไปขับขี่ถือมีความผิดตามกฎหมายเช่นกันเนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นนั่นเอง เมื่อทราบข้อมูลดังกล่าวแล้วในฐานะเจ้าของรถยนต์ควรหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ส่วนควบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเป็นประจำ อาจเลือกที่จะนำรถเข้าเช็คที่ศูนย์บริการตามกำหนด หากพบอุปกรณ์ชิ้นใดเริ่มหมดอายุการใช้งานควรรีบเปลี่ยนทันทีเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ นอกจากนี้การทำประกันรถยนต์ ถือเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างที่เจ้าของรถต้องใส่ใจ เพราะต่อให้รถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอุบัติเหตุจะไม่เกิดขึ้นกับรถของคุณ   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://promotions.co.th/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

2229 2 ส.ค. 2568, 18:09

ไฟหน้ารถ สีไหนผิดกฎหมาย ใช้ไฟอย่างไรให้ถูกวิธี

ไฟหน้ารถ ใช้อย่างไรให้ไม่รบกวนสายตาผู้อื่น สำหรับผู้อ่านทุกคนที่เป็นผู้ใช้รถใช้ถนน คงต้องเจอกันเกือบทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้ารถยนต์ แยงตาจากรถคันที่วิ่งสวนมา ทั้งการลืมปิดไฟสูงบ้าง หรือจะเป็นไฟหน้ารถยนต์ที่มีการดัดแปลงให้มีความสว่างเกินกว่ากฎหมายบ้าง วันนี้เรามาทราบกันว่าจะดัดแปลงหรือเปลี่ยนไฟหน้ารถยนต์แบบไหนให้ไม่รบกวนผู้อื่น   เคยเกิดเหตมาก็หลายเคส กับการทะเลาะวิวาทกันกลางถนนเพราะไฟหน้ารถยนต์ วันนี้เรามาทำความรู้จักและการใข้งานไฟให้ถูกต้องตามกฎหมายกันว่าจะใช้งานหรือดัดแปลงอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย กฎหมายไฟหน้ารถยนต์ ตามกฎหมายกำหนดให้ไฟหน้ารถยนต์มีสีขาวหรือเหลืองอ่อนเท่านั้น ส่วนความเข้มของแสงต้องไม่เกิน 55 วัตต์ และติดตั้งสูงจากผิวถนนไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 1.35 เมตร รูปแบบการกระจายแสงต้องอยู่ในระดับตรงช่องจราจรและไม่รบกวนสายตาผู้ขับขี่รายอื่น ซึ่งถ้าพิจารณาตามกฎหมายเบื้องต้นแล้วคงไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น ข้อสรุปสำหรับการเปลี่ยน ไฟหน้ารถ หรือดัดแปลงเองควรจะอยู่ตามกฎหมาย หรือถ้าต้องการจะเปลี่ยนเป็นไฟซีนอนก็ไม่ควรปรับดัดแปลงเป็นสีอื่นๆ นอกจากสีขาว หรือสีเหลืองอ่อน และมีค่ากำลังวัตต์ที่ไม่เกินกำหนด สรุปได้ว่าการดัดแปลงไฟหน้ารถยนต์ควรอยู่ตามกฎหมายกำหนดเช่น สีขาว หรือสีเหลืองอ่อน การดัดแปลงให้มีความสว่างจ้ามากเกินกว่าปรกติ หรือปรับแสงเป็นสีต่างๆเช่น สีฟ้า เขียว แดง นั้นผิดกฎหมายอย่างเต็มที่ อย่างไรก็อยากให้การใช้รถใช้ถนนควรนึกถึงเพื่อนร่วมท้องถนนด้วยเพื่อนสังคมที่ดีต่อไปครับเพราะการใช้ไฟที่มีความสว่างมากหรือมีสีต่างๆ อาจทำให้ผู้ที่ขับรถสวนมาเกิดอันตรายหรืออุบัติเหตได้นะครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.autospinn.com   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

849 2 ส.ค. 2568, 16:48

ถอดรหัสสีป้ายทะเบียน รถรุ่นเดียวกันทำไมถึงใช้คนละสี?

เชื่อว่าหลายคนอาจจะสงสัยกันว่า ทำไมป้ายทะเบียนรถจึงต้องมีหลายสี แล้วแต่ละสีนั้นมีความหมายอย่างไรบ้าง?  และบางทีรถรุ่นเดียวกันแต่ใช้ป้ายทะเบียนคนละสี? มีทั้งป้ายที่สะท้อนแสงและไม่สะท้อนแสง      วันนี้วิริยะประกันภัยจะขอพาทุกท่านไปไขข้อสงสัยเหล่านี้พร้อมๆ กัน กับความหมายของสีที่ซ่อนอยู่บนป้ายทะเบียนต่างๆ จะมีสีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย ป้ายสีขาวสะท้อนแสงตัวหนังสือสีดำ หมายถึง รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 ที่นั่ง เช่น รถเก๋ง และรถยนต์ทั่วไป ซึ่งเป็นป้ายทะเบียนที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด ป้ายสีขาวสะท้อนแสงตัวหนังสือสีเขียว หมายถึง รถบรรทุกส่วนบุคคล เช่น รถกระบะ หรือ รถบรรทุกขนาดเล็ก แต่สำหรับรถกระบะบางคันที่เป็นป้ายตัวหนังสือสีดำนั้น หมายความว่า จดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล หากใช้ในการบรรทุกเมื่อไหร่ จะถือว่าผิดกฏหมายทันที ป้ายสีขาวสะท้อนแสงตัวหนังสือสีน้ำเงิน หมายถึง รถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มีที่นั่งมากกว่า 7 ที่นั่ง เช่น รถตู้ ป้ายสีแดงตัวหนังสือสีดำ หมายถึง ป้ายที่ออกให้ชั่วคราว เพื่อบ่งบอกว่ารถยนต์คันนี้ยังไม่ได้การรับรองด้วยการจดทะเบียนตามกฏหมาย ซึ่งรถคันดังกล่าวสามารถใช้งานบนถนนได้ชั่วคราว แต่ต้องอยู่ในข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบก ป้ายทะเบียนที่มีพื้นหลังเป็นลายกราฟฟิค หมายถึง ป้ายทะเบียนที่มีการประมูลตัวเลขชุดพิเศษ ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสงตัวหนังสือสีดำ หมายถึง รถจักรยานยนต์ และ รถยนต์รับจ้าง ที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ไม่เกิน 7 คน เช่น Taxi หรือ มอเตอร์ไซค์วิน ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสงตัวหนังสือสีแดง หมายถึง รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสงตัวหนังสือสีน้ำเงิน หมายถึง รถยนต์เล็ก 4 ล้อรับจ้าง เช่น รถกระป๊อ ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสงตัวหนังสือสีเขียว หมายถึง รถ 3 ล้อรับจ้าง เช่น รถตุ๊กๆ ป้ายสีเขียวสะท้อนแสงตัวหนังสือสีดำ/สีขาว หมายถึง รถบริการทัศนาจร และรถบริการให้เช่า เช่น รถลิมูซีนสนามบิน ป้ายสีส้มสะท้อนแสงตัวหนังสือสีดำ หมายถึง รถบรรทุกพ่วง รถแทรกเตอร์ และรถที่ใช้ในทางเกษตรกรรม ป้ายสีขาว (ไม่สะท้อนแสง) ตัวหนังสือสีดำ หมายถึง รถยนต์ของผู้แทนทางการฑูต จะขึ้นต้นด้วย ท และตามด้วยรหัสประเทศ ขีด แล้วตามด้วยเลขทะเบียนรถ ป้ายสีฟ้า (ไม่สะท้อนแสง) ตัวหนังสือสีขาว แบ่งได้ 3 หมวดได้แก่         อักษร พ คือ หน่วยงานพิเศษในสถานฑูต         อักษร ก คือ คณะผู้แทนกงศุล         อักษร อ คือ องค์กรระหว่างประเทศ       ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.viriyah.com สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

472 2 ส.ค. 2568, 14:27

รู้ให้เคลียร์!! ป้ายภาษี กับ พ.ร.บ. ไม่ใช่อันเดียวกัน

ป้ายภาษี กับ พ.ร.บ. รถยนต์ ไม่ใช่อันเดียวกัน กฎหมายกำหนดให้รถทุกคันชำระค่าภาษีรถยนต์และทำพ.ร.บ. รถยนต์ ซึ่งทั้ง 2 อย่างมีการแยกประเภทแบบชัดเจนอยู่แล้ว แต่ก็อาจมีบางคนยังสับสนว่าระหว่างป้ายภาษี และ พ.ร.บ. นั้นต่างกันอย่างไร และมีไว้ทำอะไร วันนี้เราจะพาไปไขข้อข้องใจ ป้ายภาษี กับ พ.ร.บ. ไม่ใช่อันเดียวกัน! ใครยังสงสัยอยู่ ต้องดู! ป้ายภาษีรถยนต์คืออะไร?      ป้ายภาษีรถยนต์ เป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ทุกคนต้องต่อทุกปีตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ เพราะถ้าหากไม่ต่อภาษีรถยนต์นานติดต่อกันเกิน 3 ปี จะทำให้ถูกระงับทะเบียนรถได้เลยทันที ผู้ขับขี่อาจจะต้องเสียเวลานำรถไปจดทะเบียนภาษีรถยนต์ใหม่อีกครั้ง แล้วจึงจะได้ป้ายภาษีเก่ากลับมา ที่สำคัญเมื่อนำรถไปจดทะเบียนภาษีใหม่อาจถูกเก็บภาษีย้อนหลังอีกด้วย ถ้าหากผู้ขับขี่คนไหนไม่อยากเสียภาษีย้อนหลัง การต่อภาษีรถยนต์ตรงต่อเวลาจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำมากที่สุด ซึ่งในปัจจุบันการต่อภาษีรถยนต์นั้นสามารถทำได้ก่อนหมดอายุไม่เกิน 3 เดือน และจะต้องทำพ.ร.บ. รถยนต์ ให้เสร็จก่อนต่อภาษี เพื่อให้ได้ป้ายภาษีสี่เหลี่ยมมาติดกระจกหน้ารถ เพราะถ้าหากโดนตรวจแล้วพบว่าไม่มีป้ายนี้ผู้ขับขี่จะได้รับโทษปรับ 400-1,000 บาท นั่นเอง พ.ร.บ. รถยนต์ คืออะไร?      พ.ร.บ. รถยนต์ เป็นประกันภัยภาคบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ที่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ทุกคันต้องทำไว้ เพราะถ้าหากตรวจสอบแล้วว่ารถคันไหนไม่มี พ.ร.บ. ตามที่กฎหมายว่าไว้จะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท  และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ. รถยนต์ เป็นเอกสารที่สำคัญมากจะต้องเป็นเก็บไว้ให้ดี เนื่องจากเป็นเอกสารที่ต้องใช้ในการต่อภาษีรถยนต์อีกด้วย หากรถคันไหนที่ได้ทำ พ.ร.บ. รถยนต์ ไว้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาตัว พ.ร.บ. รถยนต์ จะให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บ หรือช่วยค่าปลงศพกรณีเสียชีวิต ตามวงเงินที่คุ้มครองในกรมธรรม์ของรถยนต์ประเภทนั้นๆ       สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้พูดถึงเหตุผลในการประกาศใช้กฎหมายว่า การที่รัฐออกกฎหมายกำหนดให้รถทุกคันต้องจัดให้มีประกันภัยอย่างน้อยที่สุด คือ การทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ เพื่อคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เพราะเหตุ ประสบภัยจากรถ โดยให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที กรณีบาดเจ็บ หรือช่วยเป็นค่า ปลงศพ กรณีเสียชีวิต เป็นหลักประกันให้โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาลในการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากรถ เป็นสวัสดิสงเคราะห์ที่รัฐมอบให้แก่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายเพราะเหตุประสบภัยจากรถ ส่งเสริมและสนับสนุนให้การประกันภัยเข้ามีส่วนร่วมในการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยและครอบครัว”      ดังนั้นรถทุกคันจะต้องมี ป้ายภาษีรถยนต์ และ พ.ร.บ. รถยนต์ เพื่อการประกันภัยต่อตัวรถและบุคคล และที่สำคัญทั้ง 2 อย่างนี้ จำเป็นต้องทำทุกปีตามที่กฎหมายได้ระบุไว้ เพราะถ้าหากรถคันไหนไม่มี พ.ร.บ. รถยนต์ ความคุ้มครองและการชดเชยค่าเบิกจ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุก็จะไม่สามารถทำได้ และจะไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ได้ด้วยเช่นกัน ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.viriyah.com    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

684 2 ส.ค. 2568, 11:13

การเดินทางอย่างปลอดภัย-สำหรับเด็กๆ

เมื่อเด็กๆ ต้องก้าวขาออกจากบ้านไปโรงเรียนความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในการเดินทางด้วยยานพาหนะ เช่น รถโดยสาร รถโรงเรียน รถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ส่วนบุคคล ผู้ปกครองและเด็กๆ ควรให้ความสำคัญกับการเดินทางอย่างปลอดภัยเพื่อลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นบนท้องถนน เคล็ดลับเดินทางปลอดภัยสำหรับเด็กๆ สอนให้รู้จักป้ายจราจร ที่พบเจอได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ป้ายจราจรบริเวณโรงเรียน หรือระหว่างทางกลับบ้าน เพื่อให้เด็ก ๆ จดจำและปฏิบัติได้ถูกต้อง สวมหมวกกันน็อก ปรับสายรัดคางให้พอดี ช่วยลดโอกาสบาดเจ็บที่ศีรษะ คาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ ไม่ว่าจะนั่งข้างหน้าหรือข้างหลัง สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ควรนั่งคาร์ซีท รอรถจอดสนิทก่อนค่อยลง ขึ้น-ลงทุกครั้ง รอให้รถจอดสนิท ใช้ประตูที่ติดกับฝั่งทางเท้าเพื่อความปลอดภัย ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก ขับขี่ปลอดภัย dy DLT สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

394 2 ส.ค. 2568, 00:01


Scroll to Top