บทความและความรู้


ทำอย่างไร? เมื่อแมวติดอยู่ในรถ

หลายครั้งเราจะเจอปัญหามีสัตว์เลี้ยงเข้าไปในรถ วันนี้ บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด จะมาแนะนำการดูแล และช่วยเหลือน้องแมวในสถานการณ์แบบนี้ เราอาจต้องใช้เวลา และความอดทนในการช่วยเหลือน้องแมวให้ปลอดภัย อย่างสบายใจได้ มีวิธีไหนบ้างไปดูกันค่ะ   การมีน้องแมวติดอยู่ในรถอาจทำให้เกิดความกังวล เพราะบางครั้งมันอาจทำให้น้องแมวรู้สึกไม่สบาย หรืออาจทำให้เกิดการเสียหายในรถยนต์ รวมไปถึงอาจทำให้น้องแมวเสียชีวิตได้ ดังนั้นลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อช่วยให้ทรัพย์สินและน้องแมวปลอดภัยกันค่ะ   1.หาทางให้น้องแมวออก เปิดประตูหรือหน้าต่างเพื่อให้มีทางออกสำหรับน้องแมว ควรระวังอย่าให้น้องแมวหลุดออกไปในที่ที่ไม่ปลอดภัย เช่นถนนหรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อความบาดเจ็บหรือการหลงทาง 2.ใช้เสียงดังหรือเครื่องมือช่วย ลองใช้เสียงดังเพื่อดึงดูดความสนใจของน้องแมว หรือใช้ของเล่นที่มันชอบเพื่อดึงดูดความสนใจของมันให้กลับมาใกล้หน้าต่างหรือประตูที่เปิดออกไปนอก 3.ควบคุมสถานการณ์ หากน้องแมวยังไม่ออก ควรจัดการให้มีความสงบ อาจพยายามปิดประตูหรือหน้าต่างเพื่อป้องกันมันไม่ได้เข้าถึงส่วนหน้ารถที่อาจทำให้เกิดอันตรายได้ 4.ขอความช่วยเหลือ หากน้องแมวยังคงติดอยู่และคุณไม่สามารถช่วยเหลือให้มันได้ ควรติดต่อช่างรถหรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม 5.ความระมัดระวังในการขับขี่ หลังจากน้องแมวได้ออกจากรถแล้ว ควรระวังและตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันไม่ได้ซ่อนตัวในที่นั่นอีก และควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าน้องแมวไม่ได้กลบอยู่ใต้โซนที่อาจเป็นอันตรายในรถ เช่นเครื่องยนต์หรือพื้นที่ที่มีความร้อน

1015 19 เม.ย. 2568, 12:52

10 เทคนิค ขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย

การขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย เริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยวินัยของผู้ใช้รถ ไม่ใช่แค่ขับได้ แต่ต้องรู้หลักการให้ขับเป็นอย่างถูกต้อง 10 เทคนิคขับขี่อย่างปลอดภัย และที่สำคัญต้องตระหนัก ปลูกฝังจิตสำนึกในตัวผู้ขับขี่  มีสติ ไม่ประมาท  คือสิ่งสำคัญที่สุดในการขับขี่อย่างปลอดภัยเพื่อตัวคุณเองและเพื่อนร่วมทาง   1.สวมหมวกกันน็อก (Helmet): การสวมหมวกกันน็อกที่มีมาตรฐานและถูกต้องสำหรับการขับรถจักรยานยนต์สามารถช่วยป้องกันการบาดเจ็บหัวในกรณีเกิดอุบัติเหตุได้                          2.สวมชุดป้องกัน (Protective Gear) : สวมเสื้อผ้าที่มีการป้องกันการกระแทก รวมถึงเสื้อและกางเกงที่ทำจากวัสดุที่ป้องกันการบาดเจ็บ และถุงมือหนา                                    3.การทรงตัว : การทรงตัวในขณะขับรถจักรยานยนต์มีความสำคัญ เพื่อลดโอกาสที่จะหลุดหรือบินออกจากรถในกรณีอุบัติเหตุ                         4.การเช็กรถ : ก่อนทุกการขับรถจักรยานยนต์ หมั่นตรวจสอบรถของคุณอย่างเคร่งครัด รวมถึงระบบเบรก, ยาง , ไฟเลี้ยว, และระบบส่องสว่างให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งานอยู่เสมอ                        5.การทรงตัวและการดูสองครั้ง : ในขณะขับรถ, รักษาระยะห่างจากรถอื่น, ทรงตัวอย่างเพียงพอ, และเรียนรู้การดูสองครั้งโดยทราบสภาพทางหน้าและด้านข้างเสมอ                  6. การทรงตัวในสภาพอากาศและถนน : การรักษาความระมัดระวังในสภาพอากาศที่แตกต่าง และในทางที่มีความลาดชัน, หลงเหลือขอบของถนน, หรือในสภาพทางหน้าที่แตกต่างกัน  หากจำเป็นต้องขับลุยเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง ให้ใช้เกียร์ต่ำ รักษาความเร็วให้คงที่ในระหว่างลุยน้ำ และ ไม่ควรขับลุยน้ำในระดับสูงเกินท่อไอเสีย                        7.มองดูด้านหลังและให้สัญญาณไฟทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนช่องทาง  : ขณะขับรถการรักษาความระมัดระวังใน  การขับขี่รถจักรยานยนต์ การเลี้ยว การจอดรถ, การกลับรถ ส่วนใหญ่มักละเลยการเปิดไฟสัญญาณให้รถคันอื่นมองเห็นเราแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่นึกอยากออกก็ออก นึกอยากจอดก็จอด ควรมองสัญญาณไฟ และให้สัญญาณไฟทุกครั้ง                                           8.อย่าขับขี่รถจักรยานยนต์ สวนทางหรือข้ามช่องทางวิ่ง : อย่าขับขี่สวนทางจะทำให้เกิดอุบัติเหตุโดยที่ไม่คาดฝันขึ้นได้เพราะเกิดจากความประมาท  เพียงเพราะคิดว่าไม่เป็นไรหรอก หรือแค่ใกล้ๆเอง แป๊บเดียวเอง และที่สำคัญอย่าขับขี่รถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด                                                 9.การเรียนรู้ทักษะขับขี่: การเข้าร่วมคอร์สการอบรมขับขี่จักรยานยนต์และทดลองขับในที่ปลอดภัยจะช่วยเพิ่มทักษะขับขี่และความมั่นใจจะช่วยเสริมทักษะ ไม่ใช่แค่เราขับได้  แต่เราต้องขับให้เป็นและปลอดภัยด้วย                          10. ไม่ดื่มและไม่ใช้สารเสพติด : การขับรถจักรยานยนต์ในสภาพมึนเมาหรือในสภาพที่มีผลกระทบจากสารเสพติดสามารถทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถขับรถจักรยานยนต์ไปในทางที่ปลอดภัยมากขึ้น                           

1128 19 เม.ย. 2568, 17:09

สัญลักษณ์หน้าปัดรถ ไฟเตือนบอกอะไร สถานะรถยนต์ ?

        การขับรถยนต์สิ่งที่ต้องเรียนรู้หรือศึกษาในคู่มือรถ ขาดไม่ได้คือ สัญลักษณ์หน้าปัดรถ บอกอะไรเราได้บ้าง? เมื่อมีรถแล้ว เราควรต้องรู้พวกเครื่องหมายต่างๆ บนหน้าปัดรถ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราและผู้โดยสารในรถ วันนี้ บริษัท ไอดี ไดรฟ์ จำกัด จะพามาดูหน้าตาสัญลักษณ์แต่ละอย่างบอกความหมายอะไรเราได้บ้าง   สัญลักษณ์หน้าปัดรถ (Dashboard Warning Lights) บนหน้าปัดของรถยนต์มีหลายรูปแบบและสีต่าง ๆ เพื่อแจ้งเตือนสถานะหรือปัญหาต่าง ๆ ในรถยนต์ ต่อไปนี้คือบางตัวอย่างของสัญลักษณ์ทั่วไปที่อาจพบบนหน้าปัดรถ ไฟเตือนแบบวงกลมทรงสามเหลี่ยมมุมฉาก (ABS Light): แสดงว่าระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) มีปัญหา ไฟเตือนระบบล้อหลัง (Traction Control Light): แจ้งเตือนถึงปัญหาในระบบควบคุมการเกาะที่ล้อ ไฟเตือนล้อยาง (Tire Pressure Warning Light): แสดงถึงความดันลมในล้อไม่เพียงพอหรือมีปัญหาที่ล้อยาง ไฟเตือนแบบฟิวส์ (Battery Light): แสดงถึงปัญหาในระบบชาร์จแบตเตอรี่ ไฟเตือนระบบน้ำหล่อเย็น (Coolant Temperature Warning Light): แจ้งเตือนถึงการทำงานผิดปกติในระบบหล่อเย็น ไฟเตือนน้ำมันเครื่อง (Oil Pressure Warning Light): แสดงถึงปัญหาในระบบน้ำมันเครื่อง ไฟเตือนปีก (Brake Warning Light): แจ้งเตือนถึงการทำงานผิดปกติในระบบเบรก ไฟเตือนล๊อกดอร์ (Door Ajar Warning Light): แสดงถึงมีประตูเปิดอยู่ ไฟเตือนลูกสูบ (Airbag Warning Light): แสดงถึงปัญหาในระบบลูกสูบ                                                              สัญลักษณ์หน้าปัดรถ (Dashboard Warning Lights) ไฟเครื่องยนต์ (Check Engine Light): สัญลักษณ์ที่แสดงถึงปัญหาในระบบเครื่องยนต์หรือระบบปรับอากาศ โดยสีหน้าปัดจะมีทั้งหมด 4 สี สีฟ้า สีเขียว สีเหลือง และ สีแดง สีเขียว – ผู้ขับขี่กำลังใช้ระบบนั้นๆ อยู่ เช่น ไฟเลี้ยว, ไฟขอทาง บอกสถานะรถของเราว่า มีอุปกรณ์ หรือระบบอะไรกำลังทำงานอยู่บ้าง สีเหลือง – สัญญาณการเตือน แต่รถก็ยังสามารถใช้งานได้ปกติ เช่น น้ำมันรถใกล้หมด บอกสถานะว่าอุปกรณ์ หรือระบบต่างๆ เริ่มมีปัญหาในการใช้งาน เราควรรีบตรวจสอบ และนำรถของเราไปเข้าอู่ หรือศูนย์ซ่อมโดยเร็ว สีแดง – อันตราย ต้องหยุดรถทันที ตรวจสอบหาความผิดปกติตามสัญลักษณ์ที่ปรากฏตามหน้าปัดรถเป็นการเตือนว่าอุปกรณ์ หรือระบบรถของเรามีปัญหาแล้ว ต้องรีบหยุดรถ และซ่อมโดยด่วนหากแก้ไขเบื้องต้นเองไม่ได้ควรเรียกช่างมาซ่อมทันทีไม่ควรฝืนขับต่อไป          1.สัญลักษณ์ไฟสูง                      เป็นสัญลักษณ์ที่จะแสดงตอนเราเปิดไฟสูงหน้ารถ        2.สัญลักษณ์ไฟหรี่                      เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงเมื่อเราเปิดไฟหรี่หน้ารถ        3.สัญลักษณ์ไฟตัดหมอก                      เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงตอนเปิดใช้ระบบไฟตัดหมอกหน้ารถ           4.สัญลักษณ์ปั๊มน้ำมัน                     สัญลักษณ์เตือนว่าน้ำมันกำลังจะหมดให้รีบหาปั๊มเติมน้ำมันด่วนก่อนที่รถจะวิ่งต่อไปไม่ได้       5.สัญลักษณ์เครื่องยนต์สีเหลือง                     สัญลักษณ์เครื่องยนต์สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์เตือนว่าเครื่องยนต์ของเรามีปัญหาควรรีบเข้าอู่หรือศูนย์ซ่อมเพื่อ                     ตรวจสอบและซ่อมแซมเครื่องยนต์ทันที     6.สัญลักษณ์กาน้ำมันเครื่องสีเหลือง                     สัญลักษณ์นี้จะแสดงต่อเมื่อระดับน้ำมันเครื่องต่ำ ควรตรวจสอบและเติมน้ำมันเครื่อง หากสัญลักษณ์นี้ยังไม่หายไป                     อาจเป็นเพราะมีการรั่วซึมจากการที่อุปกรณ์เสื่อมสภาพหรือซีนหมดอายุทำให้เกิดน้ำมันรั่วมาตามข้อต่ออุปกรณ์                              ต่างๆเราควรรีบเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมทันที          7.สัญลักษณ์ไฟระบบป้องกันการลื่นไถล                     สัญลักษณ์นี้จะแสดงขึ้นเพื่อเปิดระบบป้องกันรถลื่นไถล และเตือนว่าถนนอยู่ในสภาพเปียกที่รถอาจลื่นไถลได้ โดยจะ                      หายไปเองเมื่อถนนแห้งเป็นปกติและเราสามารถกดปุ่มปิดระบบกันลื่นได้          8.สัญลักษณ์เข็มขัดนิรภัย                     เป็นสัญลักษณ์เตือนก่อนออกรถว่ามีผู้โดยสารยังไม่คาดเข็มขัด แค่คาดเข็มขัดสัญลักษณ์นี้ก็จะหายไป                     และรถบางรุ่นจะมีเสียงเตือนอีกด้วย      9.สัญลักษณ์กาน้ำมันเครื่องสีแดง                     หากสัญลักษณ์นี้แสดงขึ้นมาแปลว่าระบบน้ำมันเครื่องมีปัญหาควรให้นำรถเข้าข้างทาง และเรียกช่างหรือรถลาก                    นำรถเราไปซ่อมที่อู่หรือศูนย์ซ่อมทันที ห้ามขับต่อเด็ดขาด เพราะ อาจส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์รถของเรา       10.สัญลักษณ์ถุงลมนิรภัย                    เป็นสัญลักษณ์เตือนว่าถุงลมนิรภัยมีปัญหาไม่สามารถใช้งานได้ ให้รีบเข้าอู่หรือศูนย์ซ่อมทันที แต่ถ้าถุงลมนิรภัยไม่ได้                    มีปัญหาอะไรสัญลักษณ์ นี้จะขึ้นมาและหายไปเองเมื่อสตาร์ตรถ     11.สัญลักษณ์เตือนแบตเตอรี่สีแดง                    สัญลักษณ์นี้ค่อนข้างอันตราย เพราะรถอาจมีความเสียหายได้หลายส่วนควรหยุดวิ่ง และหาอู่หรือศูนย์ซ่อมที่อยู่แถว                    นั้นทันที หากไม่มีอู่หรือศูนย์ซ่อมเราต้องขับรถเข้าข้างทางและเรียกช่างมาซ่อมทันที ไม่ควรขับรถต่อ     12.สัญลักษณ์ไฟเบรกมือ                     เป็นสัญลักษณ์ที่จะแสดงเมื่อเราดึงเบรกมือขึ้น เพียงแค่เราเอาแบรดมือลงสัญลักษณ์นี้ก็จะหายไปแล้ว แต่ถ้าเราเอา                     เบรกมือลงแล้วไฟยังติดอยู่ควรนำเข้าอู่หรือศูนย์ซ่อมทันทีเพราะอาจจะมีปัญหาที่น้ำมันเบรกหรือส่วนอื่นๆ ก็ได้     13.สัญลักษณ์ไฟ ABS                     โดยปกติแล้วสัญลักษณ์ไฟ ABS จะติดตอนสตาร์แล้วดับไป แต่ถ้าหากสัญลักษณ์ไฟ ABS ยังค้างอยู่แปลว่าตัวเบรก                     มีปัญหาไม่สามารถป้องกันการเบรกล้อล็อคได้ ควรขับช้าๆห้ามเหยียบเบรกรุนแรงและหาอู่ศูนย์ซ่อมหรือเรียกช่างมา                     ซ่อมแซมทันที เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุจากการเบรกล้อล็อกได้       14.สัญลักษณ์เปิดประตูรถ                     สัญลักษณ์นี้แสดงว่ารถปิดประตูไม่สนิท แค่ปิดประตูให้สนิทสัญลักษณ์นี้ก็จะหายไป แต่ถ้าสัญลักษณ์ไฟยังค้าง                     อาจจะเป็นปัญหาที่สายไฟควรเข้าอู่หรือศูนย์ซ่อม แต่ปัญหานี้ไม่ร้ายแรงมากสามารถขับต่อไปได้      15.สัญลักษณ์ไฟเตือนอุณหภูมิหม้อน้ำรถ                      สัญลักษณ์อุณหภูมิสีแดง ถือว่าอันตรายมาก เพราะถ้าอุณหภูมิสูงมากเกินไปหม้อน้ำอาจระเบิดได้ ควรจอดรถข้างทางและเรียกช่างมาทันทีไม่ควรฝืนขับต่อไปแม้อุณหภูมิจะลดลงแล้วก็ตาม         สัญลักษณ์อุณหภูมิสีฟ้า เป็นสัญลักษณ์ไม่อันตรายอะไรเพียงแค่หม้อน้ำรถเย็นเกินไปอาจทำให้สตาร์ตไม่ติด                    แค่บิดกุญแจและลองสตาร์ทิ้งไว้สักพักให้รถมีอุณหภูมิ 60 องศาขึ้นไป สัญลักษณ์ก็จะหายไปเอง   หากเห็นสัญลักษณ์ใด ๆ ที่เปิดไฟขึ้นบนหน้าปัดรถ ควรตรวจสอบคู่มือในรถหรือนัดหรือติดต่อศูนย์บริการของผู้ผลิตรถเพื่อทำการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น การปฏิเสธการแก้ไขปัญหาที่แสดงในสัญลักษณ์อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการขับขี่และทำให้เสียหายมากขึ้น   

1383 19 เม.ย. 2568, 16:52

ความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุ

ความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุ Losses resulting from accidents หากเราจะกล่าวถึงคำว่า “ อุบัติเหตุ ”  ย่อมหนีไม่พ้นการก่อให้เกิดความสูญเสีย ซึ่งการเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้ง นอกจากจะทำให้เกิดการบาดเจ็บ การเจ็บป่วย  เสียชีวิต หรือแม้แต่ทรัพย์สินเสียหาย อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรที่เกิดความเสียหายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง  ยังรวมไปถึงการสูญเสียเวลาในการที่จะต้องหยุดการผลิต และค่าใช้จ่ายอื่นๆ หรือแม้แต่เสียภาพพจน์ของบริษัท  การเกิดอุบัติเหตุในการทำงานเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นแม้แต่น้อย แต่เราจะเห็นได้ว่าอุบัติเหตุในการทำงานมักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผลลัพธ์ของอุบัติเหตุนั้นจะมีการสูญเสียทั้งทางตรงและทางอ้อม บริษัท ไอดี ไดรฟ์ จำกัด จะพาทุกท่านเรียนรู้และป้องกันความสูญเสียอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุกันค่ะ         การสูญเสียทางตรง (Direct Loss) จำนวนเงินที่ต้องจ่ายไปเกี่ยวเนื่องกับผู้ได้รับบาดเจ็บโดยตรงจากการเกิดอุบัติเหตุ หรือเป็นค่าเสียหายที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ได้แก่ 1.ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เมื่อพนักงานเกิดอุบัติเหตุขึ้น 2.ค่าประกันชีวิต หากพนักงานเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ บริษัทจำเป็นต้องจ่ายพนักงานเหล่านี้ 3.ค่าทดแทนจากการได้รับบาดเจ็บ  ค่าทำขวัญ  ค่าทำศพ การสูญเสียทางอ้อม  (Indirect Loss)  หมายถึง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ซึ่งส่วนใหญ่จะคำนวณเป็นตัวเงินได้) นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายทางตรงสำหรับการเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้ง ได้แก่        1.การสูญเสียเวลาในการทำงานของ              1.1 คนงานหรือผู้บาดเจ็บ เพื่อรักษาพยาบาล              1.2 คนงานอื่นหรือเพื่อนร่วมงานที่ต้องหยุดชะงักชั่วคราว เนื่องจากช่วยเหลือผู้บาดเจ็บโดยการปฐมพยาบาล หรือนำส่งโรงพยาบาล อยากรู้อยากเห็น การวิพากษ์วิจารณ์ ความตื่นตกใจ              1.3 หัวหน้างานหรือผู้บังคับบัญชา เนื่องจากช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ สอบสวน หาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ บันทึกและจัดทำรายงานการเกิดอุบัติเหตุ จัดหาคนงานอื่นและฝึกสอนให้เข้าทำงานแทนผู้บาดเจ็บ หาวิธีแก้ไขและป้องกันอุบัติเหตุไม่ให้เกิดซ้ำอีก       2.ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ ที่ได้รับความเสียหาย          2.1  วัตถุดิบหรือสินค้าที่ได้รับความเสียหายต้องทิ้ง ทำลายหรือขายเป็นเศษ          2.2  ผลผลิตลดลง เนื่องจากกระบวนการผลิตขัดข้อง ต้องหยุดชะงัก          2.3  ค่าสวัสดิการต่างๆของผู้บาดเจ็บ          2.4  ค่าจ้างแรงงานของผู้บาดเจ็บซึ่งโรงงานยังคงต้องจ่ายตามปกติ แม้ว่าผู้บาดเจ็บจะทำงานยังไม่ได้เต็มที่หรือต้องหยุดงาน          2.5  การสูญเสียโอกาสในการทำกำไร เพราะผลผลิตลดลงจากการหยุดชะงักของกระบวนการผลิต และการเปลี่ยนแปลงความต้องการของตลาด          2.6  ค่าเช่า ค่าไฟฟ้า น้ำประปา และโสหุ้ยต่างๆที่โรงงานยังคงต้องจ่ายตามปกติ แม้ว่าโรงงานจะต้องหยุดหรือปิดกิจการหลายวันในกรณีเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง          2.7  การเสียชื่อเสียงและภาพพจน์ของโรงงานนอกจากนี้ผู้บาดเจ็บจนถึงขั้นพิการหรือทุพพลภาพ จะกลายเป็นภาระสังคมซึ่งทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย         ความสูญเสียทางอ้อมจึงมีค่ามหาศาลกว่าความสูญเสียทางตรงมาก ซึ่งปกติเรามักจะคิดไม่ถึงในส่วนตรงนี้ จึงมีผู้เปรียบเทียบว่า  ความสูญเสียหรือค่าใช้จ่ายของการเกิดอุบัติเหตุเปรียบเสมือน “ภูเขาน้ำแข็ง” ส่วนที่โผล่พ้นน้ำให้มองเห็นมีเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ  ในทำนองเดียวกันค่าใช้จ่ายทางตรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะเป็นเพียงส่วนน้อยของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดซึ่งผู้บริหารโรงงานจะมองข้ามมิได้การเกิดอุบัติเหตุก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากทั้งต่อชีวิตของคนทำงาน และทรัพย์สินทั้งที่คิดเป็นเงินค่าใช้จ่ายอย่างเห็นได้ชัดเจนที่เป็นค่าใช้จ่ายแฝงในรูปต่างๆ                      จากความสูญเสียทางตรง และความสูญเสียทางอ้อมนี้สามารถใช้เป็น เครื่องมือสำคัญให้กับเจ้าหน้าที่ความ ปลอดภัยในการทำงาน เพื่อชี้ให้เจ้าของสถาน ประกอบการมองงานด้านอาชีว อนามัย ความปลอดภัยและสภาพ แวดล้อมในการทำงานเป็นการลงทุน ไม่ใช่เป็นค่าใช้จ่ายที่เสียไปแล้วไม่เกิดประโยชน์กับองค์กร รวมทั้งชี้ให้เจ้าของ สถานประกอบการเห็นว่าการลงทุนด้านความปลอดภัยนั้นมี ความคุ้มค่า เพราะถ้าสถานประกอบการไม่เกิดอุบัติเหตุ และโรคจากการทำงาน สถานประกอบการก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่เกิดจากความสูญเสียโดยตรงและความสูญเสียทางอ้อม      ดังนั้นการทำงานที่ปลอดภัยในโรงงานจึงมีความสำคัญต่อความสำเร็จของการบริหารงานในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะเป็นการป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการลดต้นทุนในการผลิตสินค้า แนวทางการป้องกัน 1.การฝึกอบรมพนักงานทุกคนให้มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานทุกขั้นตอน เพื่อลดความผิดพลาดในการทำงานที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ 2.การจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่ได้มาตรฐานสากลเพื่อช่วยลดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในกรณีเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น 3.การจัดอบรมด้านความปลอดภัยสม่ำเสมอ เพื่อให้พนักงานทุกคนได้ตระหนักถึงมาตรการด้านความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันอันตรายจากเรื่องต่างๆ                    

6178 19 เม.ย. 2568, 17:45

4 เทคนิค มือใหม่ต้องรู้ !! การจอดรถอย่างถูกวิธี

        การจอดรถอาจเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างซับซ้อนสำหรับบางคน เพราะต้องใช้ทักษะและความรอบคอบในการควบคุมรถในพื้นที่จำกัด นอกจากนี้ยังต้องรักษาความปลอดภัย และเป็นมืออาชีพต่อผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ ดังนั้น เทคนิคการจอดรถอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่จะศึกษาและปฏิบัติอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและความไม่สะดวกที่อาจเกิดขึ้น  โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่หัดขับรถยนต์ จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น กลัว ๆ กล้า ๆ ไม่มั่นใจ ในการขับรถเพื่อจอด เข้าซอง ถอยหลัง ไหนจะต้องเต็มไปด้วยความรู้สึก กดดันว่ารถคันข้างหลังจะด่าเราไหม กดดันเวลาเมื่อเจอคันหลัง รอนานในการเข้าจอด  หรือจะถอยโดนรถคนอื่นหรือเปล่า  ถึงแม้หลายคนก่อนขับรถ จะผ่านการสอบขออนุญาต ใบขับขี่ ในขั้นตอนการสอบปฏิบัติมาแล้ว ในท่าของการจอดเทียบทางเท้า ท่าการถอยเข้าซอง แต่การสอบกับในชีวิตจริงไม่เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ ถ้าเราขับรถไปสักระยะหนึ่ง มันจะค่อยๆ สร้างความมั่นใจและลดความกังวล ทางบริษัท ไอดี ไดรฟ์ จำกัด จึงมาแนะนำและรวบรวมเทคนิคไว้ให้มือใหม่หัดขับ การจอดรถ ในแบบง่ายๆ กัน                    1.วิธีการถอยหลัง อยากให้ท้ายรถเราหันไปทางใด ให้หมุนพวงมาลัยไปทางนั้น เช่น ต้องการให้ท้ายรถเลี้ยวไปทางซ้าย ให้หมุนพวงมาลัยไปทางด้านซ้าย เป็นต้น ควรเปิดสัญญาณไฟช่วย หากต้องถอยหลังในบริเวณที่การจราจรแออัด ตรวจสอบด้านท้ายรถก่อนทุกครั้ง และค่อยๆ ถอยรถช้าๆ คำนึงถึงขนาดของรถ ขนาดช่องว่างพื้นที่ และช่องว่างที่เหลือเพื่อการหักเลี้ยว ถอยรถตอนกลางคืน การแตะเบรกช่วย แสงไฟท้าย จะช่วยให้เราประเมินรัศมีการถอยได้ ถอยจอดรถชิดเกินไป แสงไฟท้ายจะหรี่/มองไม่เห็นแสง หากแสงไฟจ้า แสดงว่ายังถอยได้อีก                   2.วิธีจอดรถเข้าซองตรง ขั้นตอน 1 จอดรถเลียบเป็นแนวตรงไปกับที่จอดรถ ตีโค้งเข้าหาที่จอดแล้วบิดพวงมาลัยไปทางขวา สไลด์รถเฉียงประมาณ 30 องศา ตามลูกศร ขั้นตอน 2 หักพวงมาลัยไปซ้ายสุดและค่อยๆ ถอยหลังเข้าซองจนขนานไปกับเส้นเทียบ เสร็จแล้วคืนพวงมาลัยให้ล้อตรง                   3.จอดรถเข้าซองเฉียง ขั้นตอน 1 จอดรถเลียบเป็นแนวตรง เดินหน้าไปถึงเส้นขีดด้านหน้า และบิดพวงมาลัยขวา ตีล้อโค้งให้รถขนานไปกับเส้นจอดรถแนวเฉียงทั้งคันรถ ขั้นตอน 2 บิดล้อตรง ค่อยๆ ถอยหลังให้รถเข้าไปในซองจนสุด                   4.จอดรถเทียบฟุตบาท  (ท่าสอบภาคปฏิบัติใบขับขี่รถยนต์) ขั้นตอน 1 จอดรถขนาบกับคันหน้า ระยะห่างจากตัวรถประมาณ 2 ฟุต โดยให้ท้ายรถอยู่ในระดับเดียวกัน ขั้นตอน 2 หักพวงมาลัยให้สุด และค่อยๆ ถอยรถเข้าซองด้านข้าง จนรถทำมุมแนวเฉียง 45 องศาพอดีกับซอง ขั้นตอน 3 บิดล้อตรงแล้วถอยหลังเข้าซองไปและบิดพวงมาลัยไปขวาสุด จากนั้นค่อยๆ ถอยต่อจนท้ายรถชิดเส้นด้านหลัง ขั้นตอน 4 ถอยรถจนกระทั่งด้านของรถเราอยู่ในระดับเดียวกันกับท้ายรถคันหน้า เมื่อเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ให้ตั้งล้อตรง             ข้อมูลจาก : สำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางบก

659 19 เม.ย. 2568, 17:39


Scroll to Top