บทความและความรู้


สีป้ายทะเบียนต่างกันหมายถึงอะไร ?

ในวันนี้เราก็นำเกร็ดความรู้มาฝากกันเล็กน้อย เชื่อว่าทุกคนคงเคยเห็นป้ายทะเบียนรถที่วิ่งกันอยู่ตามท้องถนน สีดำบ้าง สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง มีสีต่างๆมากมายเต็มไปหมด แต่เคยรู้หรือไม่ว่าความหมายจริงๆของแต่ละสีคืออะไร แตกต่างกันอย่างไร ใช้งานแบบไหน ? ไปอ่านกัน ! ป้ายสีขาวสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ : รถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน และรถจักรยานยนต์ ป้ายสีขาวสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีน้ำเงิน : รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ป้ายสีขาวสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีเขียว : รถบรรทุกส่วนบุคคล เช่น รถกระบะ รถบรรทุกขนาดเล็ก ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ : รถจักรยานยนต์ / รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีแดง : รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีน้ำเงิน : รถยนต์ 4 ล้อรับจ้าง เช่น รถกระป๊อ ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีเขียว : รถยนต์รับจ้าง 3 ล้อ เช่น รถตุ๊กๆ ป้ายสีเขียวสะท้อนแสงตัวหนังสือสีขาว/สีดำ : รถบริการทัศนาจร รถบริหารธุรกิจ รถบริการให้เช่า เช่น รถลีมูซีนสนามบิน ป้ายสีส้มสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ : รถแทรกเตอร์ รถบนถนน รถพ่วง และรถที่ใช้ในทางเกษตรกรรม ป้ายสีแดงสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ : รถยนต์ที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนสามารถใช้งานบนถนนเพียงชั่วคราว ป้ายสีขาวไม่สะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ : รถยนต์ของผู้แทนทางการทูตขึ้นต้นด้วย ท และตามด้วยรหัสประเทศขีดแล้วตามด้วยเลขทะเบียนรถ ป้ายสีฟ้าไม่สะท้อนแสง ตัวหนังสือสีขาว : รถเฉพาะหน่วยงานพิเศษ อักษร ก คือ คณะผู้แทนกงสุล, อักษร พ คือ หน่วยงานพิเศษในสถานทูต, อักษร อ : องค์กรระหว่างประเทศ ป้ายทะเบียนที่มีพื้นหลังเป็นลายกราฟิก : ป้ายทะเบียนที่มีการประมูลตัวเลขชุดพิเศษ   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.recndt.com/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th  

559 1 ส.ค. 2568, 14:44

อัตราภาษีรถกระบะ รถยนต์รับจ้าง ที่ผู้ใช้รถควรรู้!

ภาษีรถกระบะ และภาษีรถรับจ้างสาธารณะ หลังจากบทความที่แล้ว เราพูดถึงภาษีรถยนต์ไม่เกิน 7 ที่นั่ง และภาษีรถยนต์มากกว่า 7 ที่นั่งกันไปแล้ว บทความนี้ เราจะมาพูดถึงอัตราภาษีรถกระบะ และรถรับจ้างสาธารณะกันบ้าง สำหรับภาษีรถกระบะ และภาษีรถรับจ้างสาธารณะ จะจัดเก็บตามน้ำหนักของรถ โดยมีอัตรา ดังนี้  ภาษีรถกระบะ ภาษีรถบรรทุกส่วนบุคคล ภาษีรถบรรทุกส่วนบุคคล สำหรับรถบรรทุกส่วนบุคคล หรือรถกระบะ ไม่ว่าจะแบบ 2 ประตู หรือ 4 ประตู หรือรถที่ได้รับป้ายทะเบียนพื้นขาว ตัวอักษรสีเขียว จะมีอัตราภาษี ดังนี้  รถที่มีน้ำหนักไม่เกิน 500 กก. มีอัตราภาษี 300 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 501 - 750 กก. มีอัตราภาษี 450 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 751 - 1,000 กก. มีอัตราภาษี 600 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,001 - 1,250 กก. มีอัตราภาษี 750 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,251 - 1,500 กก. มีอัตราภาษี 900 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,501 - 1,750 กก. มีอัตราภาษี 1,050 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,751 - 2,000 กก. มีอัตราภาษี 1,350 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,001 - 2,500 กก. มีอัตราภาษี 1,650 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,501 - 3,000 กก. มีอัตราภาษี 1,950 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,001 - 3,500 กก. มีอัตราภาษี 2,250 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,501 - 4,000 กก. มีอัตราภาษี 2,550 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,001 - 4,500 กก. มีอัตราภาษี 2,850 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,501 - 5,000 กก. มีอัตราภาษี 3,150 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 5,001 - 6,000 กก. มีอัตราภาษี 3,450 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 6,001 - 7,000 กก. มีอัตราภาษี 3,750 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 7,001 ขึ้นไป กก. มีอัตราภาษี 4,050 บาท ภาษีรถรับจ้าง รถสาธารณะที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มรถยนต์รับจ้าง รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด รวมถึงรถยนต์บริการ จะต้องเสียภาษีรถยนต์ในอัตรา ดังนี้  ภาษีรถรับจ้าง ภาษีรถยนต์รับจ้าง รถที่มีน้ำหนักไม่เกิน 500 กก. มีอัตราภาษี 185 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 501 - 750 กก. มีอัตราภาษี 310 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 751 - 1,000 กก. มีอัตราภาษี 450 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,001 - 1,250 กก. มีอัตราภาษี 560 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,251 - 1,500 กก. มีอัตราภาษี 685 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,501 - 1,750 กก. มีอัตราภาษี 875 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,751 - 2,000 กก. มีอัตราภาษี 1,060 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,001 - 2,500 กก. มีอัตราภาษี 1,250 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,501 - 3,000 กก. มีอัตราภาษี 1,435 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,001 - 3,500 กก. มีอัตราภาษี 1,625 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,501 - 4,000 กก. มีอัตราภาษี 1,810 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,001 - 4,500 กก. มีอัตราภาษี 2,000 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,501 - 5,000 กก. มีอัตราภาษี 2,185 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 5,001 - 6,000 กก. มีอัตราภาษี 2,375 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 6,001 - 7,000 กก. มีอัตราภาษี 2,560 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 7,001 ขึ้นไป กก. มีอัตราภาษี 2,750 บาท ภาษีรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด และรถยนต์บริการ ภาษีรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด และรถยนต์บริการ รถที่มีน้ำหนักไม่เกิน 500 กก. มีอัตราภาษี 450 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 501 - 750 กก. มีอัตราภาษี 750 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 751 - 1,000 กก. มีอัตราภาษี 1,050 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,001 - 1,250 กก. มีอัตราภาษี 1,350 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,251 - 1,500 กก. มีอัตราภาษี 1,650 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,501 - 1,750 กก. มีอัตราภาษี 2,100 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,751 - 2,000 กก. มีอัตราภาษี 2,550 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,001 - 2,500 กก. มีอัตราภาษี 3,000 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2,501 - 3,000 กก. มีอัตราภาษี  3,450 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,001 - 3,500 กก. มีอัตราภาษี 3,900 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 3,501 - 4,000 กก. มีอัตราภาษี 4,350 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,001 - 4,500 กก. มีอัตราภาษี 4,800 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 4,501 - 5,000 กก. มีอัตราภาษี 5,250 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 5,001 - 6,000 กก. มีอัตราภาษี 5,700 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 6,001 - 7,000 กก. มีอัตราภาษี 6,150 บาท รถที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 7,001 ขึ้นไป กก. มีอัตราภาษี 6,600 บาท เพราะภาษีรถยนต์เป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถต้องรับผิดชอบควบคู่ไปกับพ.ร.บ. รถยนต์ ดังนั้น เมื่อถึงเวลาชำระภาษีรถยนต์ ก็อย่าลืมไปชำระในวันที่กำหนด ไม่งั้นอาจถูกปรับได้ แม้จะเพียง 1% ของอัตราภาษีต่อเดือน แต่เมื่อรวม ๆ กันหลาย ๆ เดือนแล้ว ก็เป็นเงินไม่น้อยเลยทีเดียว ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://chobrod.com/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

773 2 ส.ค. 2568, 07:35

เมาแล้วขับ…เกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. จ่ายมั้ย

อย่างที่รู้กันอยู่ว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุในกรณีเมาแล้วขับ แล้วมีการตรวจเช็คเจอปริมาณแอลกอฮอล์มากกกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์ไม่ว่าเจ้าไหนก็ไม่มีใครรับผิดชอบแน่นอน แต่เชื่อว่าหลายๆ คนยังมีข้อสงสัยว่าถ้าประกันภัยรถยนต์ไม่จ่ายแล้ว พ.ร.บ. ล่ะจะจ่ายรึเปล่าเพราะเป็นความผิดเมาแล้วขับ ก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับ พ.ร.บ. กันเสียก่อน พ.ร.บ. ย่อมาจาก พระราชบัญญัติ ซึ่ง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จะเป็นกฎหมายที่บังคับให้รถทุกคันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกจะต้องทำและมีไว้เป็นหลักประกันให้กับคนในรถทุกคัน หรือผู้ที่ใช้รถใช้ถนนว่าจะได้รับสิทธิความคุ้มครองจากเงินกองกลางที่รถทุกคันได้ทำ พ.ร.บ. ว่า จะได้รับความคุ้มครอง/เงินค่ารักษาพยาบาลจากการเกิดอุบัติเหตุ หรือการประสบภัยจากรถในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที                 ในกรณีเกิดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ พ.ร.บ. จะรับผิดชอบและให้ความคุ้มครองในตัวบุคคล หรือผู้บาดเจ็บในอุบัติเหตุ โดยไม่มีข้อแม้ ซึ่ง พ.ร.บ. จะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นหรือค่ารักษาพยาบาลโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิดตามวงเงินที่กำหนดไว้ แต่ถ้าเกิดความเสียหายแก่รถของคุณหรือคู่กรณีคุณต้องจ่ายค่าเสียหายเองทั้งหมด พ.ร.บ.จะจ่ายให้แค่รักษาพยาบาลในกรณีบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตเท่านั้น โดย พ.ร.บ. จะจ่ายค่า รักษาพยาบาล ไม่เกิน 30,000  บาท/คน และ การเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ไม่เกิน 35,000  บาท/คน   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.grandprix.co.th/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

404 2 ส.ค. 2568, 08:31

เจ็บจากรถ หมดกังวัลเรื่องค่าใช้จ่าย พ.ร.บ.คุ้มครองค่ารักษาเบื้องต้น 30,000 บาท ใช้สิทธิ์ได้ที่ โรงพยาบาลดีบุก

(วงเงินคุ้มครองสูงสุด 304,000 บาท กรณีมี พ.ร.บ. อุบัติเหตุจากรถ) ค่าเสียหายเบื้องต้น (จ่ายโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด) บาดเจ็บ จ่ายค่ารักษาตามจริง ไม่เกิน 30,000 บาท สูญเสียอวัยวะ ได้รับ 35,000 บาท สูญเสีย/ทุพพลภาพถาวร ได้รับ 35,000 บาท ค่าสินไหมทดแทน (จ่ายหลังพิสูจน์ถูกผิดแล้ว) บาดเจ็บ จ่ายค่ารักษาตามจริง ไม่เกิน 80,000 บาท สูญเสียอวัยวะ นิ้วขาด 1 ข้อขึ้นไป 200,000 บาท สูญเสียอวัยวะ 1 ส่วน 250,000 บาท สูญเสียอวัยวะ 2 ส่วน 300,000 บาท สูญเสีย/ทุพพลภาพถาวร ได้รับ 300,000 บาท กรณีบาดเจ็บและต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล จะได้รับค่าชดเชยวันละ 200 บาท/วัน สูงสุดไม่เกิน 20 วัน (ยกเว้นผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น) เอกสารขอใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. สำเนากรมธรรม์รถ บัตรประจำตัวประชาชน สำเนาบันทึกประจำวันตำรวจ หมายเหตุ พ.ร.บ. ต้องไม่หมดอายุ คำถามไขข้อข้องใจ ใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. ที่ โรงพยาบาลดีบุก Q : ล้มเองใช้สิทธิ์ พ.ร.บ ได้หรือไม่ ? A : ใช้ได้ ถึงแม้ไม่มีคู่กรณีก็สามารถใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เบื้องต้น 30,000 บาท Q : ไม่มีใบขับขี่ เบิกสิทธิ์ พ.ร.บ. ได้หรือไม่ ? A : เบิกได้ ถึงแม้ไม่มีใบขับขี่ หรือใบขับขี่หมดอายุก็สามารถใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลได้ ที่สำคัญคือ พ.ร.บ. รถต้องไม่หมดอายุ Q : ขาโดนท่อรถ เบิก พ.ร.บ. ได้หรือไม่ ? A : เบิกได้ หากเป็นการบาดเจ็บขณะกำลังขับขี่หรือกำลังใช้รถที่มี พ.ร.บ. สามารถใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เบื้องต้น 30,000 บาท แต่ในกรณีโดนท่อรถที่จอดอยู่จะไม่สามารถใช้ พ.ร.บ. ได้ Q : ชาวต่างชาติใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. ได้หรือไม่ ? A : ใช้ได้ พ.ร.บ. จะคุ้มครองทั้งผู้ขับขี่และผู้ประสบเหตุจากรถทันที ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ ที่สำคัญ พ.ร.บ. รถคันที่ประสบเหตุต้องไม่หมดอายุ Q : ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วมีอะไรกระเด็นเข้าตาใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. ได้หรือไม่ ? A : ใช้ได้ ในกรณีที่ขับขี่รถที่มี พ.ร.บ. แล้วเกิดมีอะไรกระเด็นเข้าตา ทำให้บาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุ สามารถใช้สิทธิ์ พ.ร.บ. เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เบื้องต้น 30,000 บาท Q : พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบเหตุได้ทุกคนหรือไม่ ? A : คุ้มครองทุกคน ทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร รวมถึงบุคคลอื่นที่บาดเจ็บจากรถที่มี พ.ร.บ. โดยได้รับวงเงินรักษาพยาบาลเบื้องต้นคนละ 30,000 บาท เท่ากันทุกคน   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.dibukhospital.com/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

244 2 ส.ค. 2568, 03:50

ควรเช็คระดับน้ำมันเครื่อง ตอนไหน..ก่อน หรือหลังสตาร์ท

น้ำมันเครื่อง นับเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยหล่อลื่นและปกป้องเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แน่นอนว่าเมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะ น้ำมันเครื่องย่อมมีการเสื่อมสภาพและมีปริมาณที่ลดลงไปจากการเผาไหม้ ดังนั้นผู้ใช้รถยนต์ทุกท่านควรหมั่นตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบ สำหรับวิธีตรวจเช็คน้ำมันเครื่องนั้นไม่ยาก ผู้ใช้รถสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง เพียงดึงก้านวัดออกมาดู อย่างไรก็ดีครับในเรื่องของการตรวจเช็คระดับน้ำมัน ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาหลายยุคหลายสมัยว่า ควรทำช่วงเวลาไหน บ้างก็ว่าต้องจอดรถทิ้งไว้ข้ามคืนวันรุ่งขึ้นค่อยมาเช็คดีที่สุด เพราะน้ำมันเครื่องจะไหลกลับลงอ่างอย่างเต็มที่ และหายร้อน จึงมีความข้นและเหนียวมากขึ้น เมื่อดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องขึ้นมาน้ำมันจะติดที่ก้านวัดได้ดีและแม่นยำ บางอู่บางสำนักก็บอกว่าหลังจากดับเครื่องสัก 4-5 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงสู่อ่างน้ำมันเครื่องด้านล่างก็ตรวจได้ทันที แล้วแบบนี้ผู้ใช้รถควรเชื่อแบบใด ซึ่งในความเป็นจริง หากทำตามข้อแนะนำว่าจอดทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วถ้าเอารถเข้าศูนย์ ลองคิดดูครับว่ากว่าช่างจะถ่ายน้ำมันเครื่องแต่ละทีคงทำงานได้ยากและใช้เวลานานมาก ดังนั้นการที่บอกว่าต้องรอข้ามคืนไม่น่าใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลนัก เพราะช่างต้องรอวัด 6-8 ชม .แล้วจะส่งรถยังไง โดย ‘คู่มือรถ’ ส่วนใหญ่ก็ระบุขั้นตอนไว้ค่อนข้างชัดเจน ให้ติดเครื่องยนต์หรือทำงานจนร้อน จากนั้นดับเครื่องแล้วรอสักครู่ เพื่อให้น้ำมันไหลกลับอ่างน้ำมันเครื่อง นั่นคือ 1-5 นาที ถึงค่อยทำการวัดระดับ สำหรับขั้นตอนการวัดระดับน้ำมันเครื่อง อันดับแรกต้องจอดรถให้อยู่ในแนวระนาบไม่ลาดเอียง เปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องและดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา จากนั้นเช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดออกด้วยเศษผ้าหรือกระดาษทิชชู่ก็ได้ เสร็จแล้วเสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิมอีกครั้ง เพื่อตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมันเครื่อง ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่บริเวณปลายของก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป *ปริมาณน้ำมันเครื่องที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ ที่สำคัญควรตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอยู่เป็นประจำ ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรือ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง   ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.roojai.com/   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์  Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า) โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377  อีเมล : contact@iddrives.co.th

591 2 ส.ค. 2568, 05:48


Scroll to Top