บทความและความรู้


4 เทคนิค มือใหม่ต้องรู้ !! การจอดรถอย่างถูกวิธี

        การจอดรถอาจเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างซับซ้อนสำหรับบางคน เพราะต้องใช้ทักษะและความรอบคอบในการควบคุมรถในพื้นที่จำกัด นอกจากนี้ยังต้องรักษาความปลอดภัย และเป็นมืออาชีพต่อผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ ดังนั้น เทคนิคการจอดรถอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่จะศึกษาและปฏิบัติอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและความไม่สะดวกที่อาจเกิดขึ้น  โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่หัดขับรถยนต์ จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น กลัว ๆ กล้า ๆ ไม่มั่นใจ ในการขับรถเพื่อจอด เข้าซอง ถอยหลัง ไหนจะต้องเต็มไปด้วยความรู้สึก กดดันว่ารถคันข้างหลังจะด่าเราไหม กดดันเวลาเมื่อเจอคันหลัง รอนานในการเข้าจอด  หรือจะถอยโดนรถคนอื่นหรือเปล่า  ถึงแม้หลายคนก่อนขับรถ จะผ่านการสอบขออนุญาต ใบขับขี่ ในขั้นตอนการสอบปฏิบัติมาแล้ว ในท่าของการจอดเทียบทางเท้า ท่าการถอยเข้าซอง แต่การสอบกับในชีวิตจริงไม่เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ ถ้าเราขับรถไปสักระยะหนึ่ง มันจะค่อยๆ สร้างความมั่นใจและลดความกังวล ทางบริษัท ไอดี ไดรฟ์ จำกัด จึงมาแนะนำและรวบรวมเทคนิคไว้ให้มือใหม่หัดขับ การจอดรถ ในแบบง่ายๆ กัน                    1.วิธีการถอยหลัง อยากให้ท้ายรถเราหันไปทางใด ให้หมุนพวงมาลัยไปทางนั้น เช่น ต้องการให้ท้ายรถเลี้ยวไปทางซ้าย ให้หมุนพวงมาลัยไปทางด้านซ้าย เป็นต้น ควรเปิดสัญญาณไฟช่วย หากต้องถอยหลังในบริเวณที่การจราจรแออัด ตรวจสอบด้านท้ายรถก่อนทุกครั้ง และค่อยๆ ถอยรถช้าๆ คำนึงถึงขนาดของรถ ขนาดช่องว่างพื้นที่ และช่องว่างที่เหลือเพื่อการหักเลี้ยว ถอยรถตอนกลางคืน การแตะเบรกช่วย แสงไฟท้าย จะช่วยให้เราประเมินรัศมีการถอยได้ ถอยจอดรถชิดเกินไป แสงไฟท้ายจะหรี่/มองไม่เห็นแสง หากแสงไฟจ้า แสดงว่ายังถอยได้อีก                   2.วิธีจอดรถเข้าซองตรง ขั้นตอน 1 จอดรถเลียบเป็นแนวตรงไปกับที่จอดรถ ตีโค้งเข้าหาที่จอดแล้วบิดพวงมาลัยไปทางขวา สไลด์รถเฉียงประมาณ 30 องศา ตามลูกศร ขั้นตอน 2 หักพวงมาลัยไปซ้ายสุดและค่อยๆ ถอยหลังเข้าซองจนขนานไปกับเส้นเทียบ เสร็จแล้วคืนพวงมาลัยให้ล้อตรง                   3.จอดรถเข้าซองเฉียง ขั้นตอน 1 จอดรถเลียบเป็นแนวตรง เดินหน้าไปถึงเส้นขีดด้านหน้า และบิดพวงมาลัยขวา ตีล้อโค้งให้รถขนานไปกับเส้นจอดรถแนวเฉียงทั้งคันรถ ขั้นตอน 2 บิดล้อตรง ค่อยๆ ถอยหลังให้รถเข้าไปในซองจนสุด                   4.จอดรถเทียบฟุตบาท  (ท่าสอบภาคปฏิบัติใบขับขี่รถยนต์) ขั้นตอน 1 จอดรถขนาบกับคันหน้า ระยะห่างจากตัวรถประมาณ 2 ฟุต โดยให้ท้ายรถอยู่ในระดับเดียวกัน ขั้นตอน 2 หักพวงมาลัยให้สุด และค่อยๆ ถอยรถเข้าซองด้านข้าง จนรถทำมุมแนวเฉียง 45 องศาพอดีกับซอง ขั้นตอน 3 บิดล้อตรงแล้วถอยหลังเข้าซองไปและบิดพวงมาลัยไปขวาสุด จากนั้นค่อยๆ ถอยต่อจนท้ายรถชิดเส้นด้านหลัง ขั้นตอน 4 ถอยรถจนกระทั่งด้านของรถเราอยู่ในระดับเดียวกันกับท้ายรถคันหน้า เมื่อเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ให้ตั้งล้อตรง             ข้อมูลจาก : สำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางบก

290 19 ก.ย. 2567, 04:33

เทคนิคขับรถบรรทุก ขับขี่ปลอดภัยมั่นใจทุกเส้นทาง

        รถบรรทุก เป็นหัวใจสำคัญในระบบอุตสาหกรรมของวงการ ขนส่งทางบก และในระบบโลจิสติกส์ที่มีส่วนสำคัญมาก เพราะเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะขนส่งทางบก ถือว่าผู้ประกอบการนิยมเลือกมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น  4 ล้อ 6 ล้อ 10 ล้อ 12 ล้อ หรือ 18 ล้อ เป็นการขนส่งที่ สะดวก รวดเร็ว สามารถขนส่งได้ในปริมาณมาก และตอบสนองความต้องการด้านการขนส่งได้เป็นอย่างดี         แต่ถึงอย่างไร การขับรถบรรทุกนั้นต้องการทักษะและความระมัดระวังมาก เนื่องจากรถบรรทุกมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก ด้วยขนาดและความยาวของตัวรถ การจะขับรถบรรทุกได้อย่างมืออาชีพจึงไม่ใช่เรื่องง่าย คนขับรถบรรทุกต้องมีความรู้และทักษะ ความชำนาญ ที่เพียงพอในการดูแลและควบคุมรถให้ปลอดภัยทั้งในทางขับขี่และในกระบวนการขนส่งสินค้า บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด จึงนำเกร็ดสาระน่ารู้ มาแบ่งปัน เพื่อให้ทุกเส้นทางเป็นไปอย่างราบรื่น สะดวกและปลอดภัย          1.ตรวจสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ         การตรวจสภาพรถก่อนการเริ่มต้นเดินทางทุกครั้งเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้ขับรถบรรทุกได้อย่างปลอดภัย มั่นใจว่าทุกส่วน มีสภาพดีและพร้อมใช้งาน เช่น ตรวจสอบยางรถทุกเส้น  ทดสอบระบบเบรก ทดสอบระบบไฟ  เช็กไฟสัญญาณ แตร ที่ปัดน้ำฝน น้ำมันเครื่อง และอุปกรณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ปรับกระจกตรวจทั้งหมดเพื่อให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน หากมีการขับรถขนส่งสินค้า อย่าลืมที่จะตรวจเช็กรักษาความปลอดภัยของสินค้าให้มั่นใจ ว่าใช้สายผูกหรืออุปกรณ์ล็อกอย่างแน่นหนา ทุกครั้งที่บรรทุกของอย่าลืมตรวจความเรียบร้อยของสิ่งของที่บรรทุก ต้องมีผ้าคลุมแน่นหนา และมีอุปกรณ์ล็อกเพื่อความปลอดภัย ผ้าใบคลุมจะต้องใช้ผ้าใบสีทึบ และยึดติดกับตัวรถให้มีความแข็งแรงพอที่ไม่ให้สิ่งของรั่วไหล ตกหล่น จนทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุก หรือรถกระบะก็ตาม หากฝ่าฝืน จะมีโทษปรับตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก โดยมีโทษปรับสูงสุด 50,000 บาท และหากเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ผู้ประกอบการจะต้องชดใช้ตามกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์อีกด้วยเพิ่มความปลอดภัยโดยการติดตั้งแผ่นสะท้อนแสง แผ่นสะท้อนแสง จะทำหน้าที่สะท้อนแสง กับไฟหน้าของรถคันอื่นๆ เพื่อช่วยในการมองเห็น ขณะขับรถบรรทุกในตอนกลางคืน เพิ่มความปลอดภัย โดยรถบรรทุกทุกคัน จะต้องติดตั้งแผ่นสะท้อนแสงให้ถูกตำแหน่ง และส่วนที่สำคัญอีกเรื่อง         กฎหมายรถบรรทุกที่เกี่ยวกับน้ำหนักของการบรรทุก และปริมาณน้ำหนักที่กำหนด  ซึ่งหากฝ่าฝืน บรรทุกเกินน้ำหนักที่กำหนดไว้จะมีโทษทางกฎหมาย ให้จำคุกไม่เกิน 6 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยมีรายละเอียดดังนี้ รถบรรทุกขนาด 4 ล้อ ต้องบรรทุกไม่เกินกว่า 9.5 ตัน รถบรรทุกขนาด 6 ล้อ ต้องบรรทุกไม่เกิน 15 ตัน รถบรรทุกขนาด 10 ล้อ ต้องบรรทุกไม่เกิน 25 ตัน รถพ่วง 6 เพลา 22 ล้อ ต้องบรรทุกหนักไม่เกิน 50.5 ตัน               2.ตรวจสอบความพร้อมของผู้ขับขี่         สิ่งสำคัญของการขับรถไม่ว่าจะขับรถประเภทไหนก็ตามจำเป็นที่สุดต้องมีใบขับขี่เพื่อเป็นไปตามข้อกฎหมาย กรมขนส่งทางบก ซึ่งจะออกให้กับบุคคลที่ผ่านการอบรมและสอบภาค ทฤษฎีและปฏิบัติ ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร ป้ายจราจร และแนวทางในการขับขี่บนท้องถนนได้อย่างปลอดภัย โดยทุกคนต้องผ่านการทดสอบข้อเขียนและการสอบขับรถภาคปฏิบัติ เพื่อเป็นการยืนยันว่าเรานั้น มีความสามารถมากพอในการขับรถบรรทุกตามที่มาตรฐานกำหนด เพื่อผู้ขับขี่รถจะขับขี่ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุกับผู้ที่ใช้รถ ใช้ถนนคนอื่นๆได้  และสำหรับผู้ขับรถบรรทุกต้องมีใบขับขี่ ท.2          ใบขับขี่ประเภท 2 คือ ใบอนุญาตการขับขี่ที่สามารถขับรถได้ทุกประเภทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สามารถใช้ขับรถได้ทั้งรถส่วนบุคคลและรถสาธารณะ เช่น รถบรรทุกหกล้อ รถตู้ รถเก๋ง กระบะ หรือรถประเภทอื่นๆ เพื่อประกอบธุรกิจขนส่งในอุตสาหกรรมต่าง สำหรับรถสาธารณะป้ายทะเบียนสีเหลือง จะเป็นใบอนุญาตการขับขี่เพื่อการขนส่งทุกประเภทที่ใช้ในเชิงพาณิชย์           3.รักษาระยะห่าง ผู้ขับขี่ควรคำนึงถึงการรักษาระยะห่างระหว่างยานพาหนะคันอื่นๆ จงจำไว้ว่า ยิ่งผู้ขับขี่ขับรถมีระยะห่างระหว่างรถของเรากับยานพาหนะคันอื่น ๆ มากเท่าไหร่ผู้ขับขี่ก็จะยิ่งมีเวลาในการมองเห็น สังเกต ตัดสินใจ และตอบสนองต่ออันตรายที่เกิดขึ้น ขณะขับขี่มากขึ้นเท่านั้น เคล็ดลับการรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย รักษาระยะห่างระหว่างรถของเราและยานพาหนะคันอื่นๆ (ด้านหน้า ด้านข้างและ ด้านหลัง) กะระยะช่องว่างที่ปลอดภัย ควบคุมความเร็วให้เหมาะสม (ปรับความเร็วให้เหมาะสมกับสถานการณ์เมื่อผู้ขับขี่เข้าใกล้สถานที่ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดอันตราย) การรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าควรเว้นอย่างน้อย 3-6 วินาที  ยิ่งในกรณีที่รถบรรทุก  บรรทุกของหนักจากน้ำหนักสิ่งของที่บรรทุกมาด้านหลังทำให้รถเกิดแรงส่งค่อนข้างสูง  จึงจำเป็นต้องมีระยะห่างจากการเบรกที่เพียงพอ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุกรณีเบรกกะทันหัน ดังนั้น อย่าลืมให้ความสำคัญกับการตรวจสอบระบบเบรก และบรรทุกน้ำหนักตามที่กฎหมายกำหนดที่ทาง บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว 4. เลือกเส้นทางที่เหมาะสม มั่นใจทั่วไทย รถใช้ GPS         เลือกเส้นทางที่เหมาะสมและปลอดภัยโดยติดตั้ง GPS จุดประสงค์การติด GPS เพื่อทราบถึงข้อมูลจราจรปัจจุบัน ข้อมูลสภาพถนน และข้อมูลอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อการขับขี่คือสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ประกอบการขนส่งหรือบุคคลทั่วไปสามารถติดตามและควบคุมพฤติกรรมการขับรถของพนักงานขับรถได้ แบบเรียลไทม์ (Real time) เช่น ความเร็วที่ใช้ เส้นทางที่ใช้ ระยะทาง ตำแหน่งที่รถวิ่งอยู่ ชั่วโมงการขับขี่รถและการจอดพักรถ ฯลฯ         ปัจจุบันการติดตั้ง GPS เป็นการบังคับใช้จากกรมการขนส่งทางบกโดยมีการกำหนดให้ รถเมล์หรือรถทัวร์ (รถโดยสารสาธารณะ), รถลากจูง, รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ทุกคันจะต้องติดตั้งด้วยระบบ GPS เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล กับศูนย์บริหารจัดการเดินรถของภาครัฐ ทำให้สามารถติดตามพฤติกรรมการขับขี่ เช่น การใช้ความเร็วในการขับขี่, เวลาในการเดินรถ รวมถึงพิกัดของตัวรถ หากไม่ติดตั้ง หรือไม่ดูแลรักษาสภาพเครื่องให้ส่งสัญญาณ GPS ได้ตามปกติ ถือว่ามีโทษ ปรับตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท และจะไม่สามารถต่อทะเบียนรถคันดังกล่าวได้ การใช้ข้อมูลจาก GPS ของรถที่ได้ จะทำให้ผู้ประกอบการรถสาธารณะสามารถนำไปบริหารการเดินรถหรือขนส่งให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น วางแผนกำหนดระยะทางวิ่งรถให้สั้นลง เพื่อประหยัดน้ำมัน ลดต้นทุนการขนส่ง พัฒนาระบบโลจิสติกส์ (Logistics) ลดการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  GPS ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับการขับขี่ สร้างพฤติกรรมการขับขี่ที่เหมาะสมและปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้ 5. จุดบอดของรถบรรทุก สิ่งที่ควรคำนึงและข้อควร ระมัดระวัง 4 จุดบอดของรถบรรทุก อันตรายที่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ ควรหลีกเลี่ยง เพื่อลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัยให้ตัวเรา และผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ใกล้พื้นที่จุดบอดรถบรรทุกในทุกกรณีเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย จุดที่ 1 ด้านหน้าของรถบรรทุก สิ่งสำคัญที่ต้องระวังคือ “การเว้นระยะปลอดภัย เผื่อระยะเบรกของรถบรรทุก” ไม่ควรขับรถอยู่พื้นที่ด้านหน้าในระยะประชิด หากอยู่ในระยะประชิด ผู้ขับรถบรรทุกอาจมองไม่เห็นรถด้านหน้า เนื่องจากความสูงของตัวรถ อาจบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น เราจึงควรหลีกเลี่ยงจุดเสี่ยงการขับรถที่อยู่ในพื้นที่ด้านหน้าของรถบรรทุก  และผู้ขับขี่รถบรรทุกจึงควรเว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้า 3-4 ช่วงคันของรถยนต์เพื่อช่วยในการมองเห็นในระยะที่เหมาะสม จุดที่ 2 ด้านขวาของรถบรรทุก  จุดนี้คนขับรถบรรทุกจะไม่สามารถมองเห็นรถที่วิ่งขนาบข้างด้านขวาได้เนื่องจากความสูงของตัวรถบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น โดยผู้ขับรถบรรทุกจะเห็นก็ต่อเมื่ออยู่ในรัศมีของกระจกมองข้างเมื่อรถบรรทุกต้องการเลี้ยวเปลี่ยนช่องทาง และมองไม่เห็นรถของเราในจุดนี้ ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เราขับรถให้เลยหน้าเขาหรือเทียบเท่าหน้ารถ เพื่อช่วยในการมองเห็นให้ชัดเจนและลดอุบัติเหตุได้ จุดที่ 3 ด้านซ้ายของรถบรรทุก  จุดนี้ถือว่าเป็นด้านหรือ พื้นที่อันตรายที่สุด เพราะเป็นมุมมองที่คนขับรถบรรทุกมีทัศนวิสัยแคบมาก ด้วยระยะของกระจกมองข้างด้านซ้ายที่อยู่ห่างกับตัวคนขับรถ ควรหลีกเลี่ยงการขับรถขึ้นมาชิดบริเวณพื้นที่ในจุดนี้ ดังนั้นผู้ใช้รถใช้ถนนจึงควรระมัดระวังให้มาก หากมีคนขับรถอยู่พื้นที่ส่วนนี้ให้รีบแซงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หรือเป็นไปได้ก็ควรหลีกเลี่ยงการขับรถขึ้นมาชิดบริเวณพื้นที่ในจุดนี้ จุดที่ 4 ด้านหลังของรถบรรทุก ไม่ควรขับรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ตามหลังบรรทุก เพราะเป็นจุดที่คนขับรถบรรทุกก็จะไม่เห็นด้านหลัง อีกทั้งยังมีสินค้าหรือตู้คอนเทนเนอร์อยู่ด้านหลัง ทำให้ความสามารถการมอง “ กระจกมองหลังไม่สามารถมองเห็นด้านหลังของรถได้ ” ดังนั้นผู้ที่ขับรถตามหลังรถบรรทุกจึงควรเว้นระยะห่างของรถไว้อย่างน้อย 20-25 คันของระยะรถ เพื่อระยะความปลอดภัย เผื่อมีการเบรกกะทันหัน และการถอยหลังของรถบรรทุก นี่คือเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ บางส่วนที่ทาง บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด มาแนะนำ ผู้ใช้รถใช้ถนนหรือแม้แต่ผู้ขับขี่ก็ไม่ควรมองข้าม เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียและลดการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อชีวิตตนเอง และเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน              

468 19 ก.ย. 2567, 04:34

อย่าคิดว่าไม่สำคัญ การบำรุงดูแลรักษารถยนต์เบื้องต้น

สำหรับใครที่ใช้รถยนต์เป็นประจำทั้งคุณผู้หญิง คุณผู้ชาย อาจมองว่าการซ่อมรถ บำรุงดูแลรักษารถเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะทำได้  แต่ถ้าเราตั้งใจจะเรียนรู้ศึกษาพื้นฐานจริงๆ  ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เกินความตั้งใจของเราได้ เพราะการดูแลรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้รถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด วันนี้ บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด จะมาแนะนำเคล็ดลับการดูแลรถยนต์ที่เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานให้กับรถของเรา ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่ป้ายแดง หรือรถยนต์มือสอง  วิธีบำรุงรักษารถให้เบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง ซึ่งบนโลกออนไลน์ในยุคสมัยนี้  มีข้อมูลสารพัดประโยชน์ของรถหลากหลายยี่ห้อและรุ่นต่าง ๆ เกือบทั้งหมด ไม่ว่าเรา จะสงสัย สนใจอะไร เราก็สามารถหาข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายผ่าน YouTube หรือ Facebook จากเหล่าคนรักรถ ผู้รู้ที่ ใช้รถตัวจริงที่มาแนะนำแบ่งปันเทคนิค มีรถมากหน้าหลายตา ที่มาแบ่งปันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน พร้อมบอกทุกเทคนิคและปัญหาของรถแต่ละรุ่นของพวกเขาเหล่านั้น    การบำรุงรักษารถยนต์จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้รถของเรา ทำงานได้ดีตลอดเวลาและเป็นการยืดอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น และนี่ก็คือบางส่วนที่สามารถช่วยในการบำรุงรักษารถยนต์ของเราให้มีการใช้งานมากขึ้น   แถมยังเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆอีกด้วย                 1.การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแนะนำทุก 5,000 ถึง 10,000 กิโลเมตรหรือ 3 ถึง 6 เดือน การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นประจำเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการบำรุงรักษารถยนต์ในสภาพที่ดี น้ำมันเครื่องช่วยในการลดการเสียหายของเครื่องยนต์และช่วยให้ระบบหล่อเย็นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ      2.การเปลี่ยนฟิลเตอร์ เปลี่ยนฟิลเตอร์อากาศ, ฟิลเตอร์น้ำมัน, และฟิลเตอร์เชื้อเพลิงตามคำแนะนำจากผู้ผลิต การทำเช่นนี้จะช่วยให้รถมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด      3.การตรวจสอบและเปลี่ยนสายพาน การตรวจเช็กสายพานในรถยนต์เป็นส่วนสำคัญเพื่อให้รถทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สูงสุด ซึ่งสายพานมีบทบาทสำคัญในการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังส่วนต่าง ๆ ของรถ เช่น ส่งกำลังไปยังระบบหน่วยปรับอากาศ (A/C), ปั๊มน้ำ, หรือหน่วยปรับแรงเทียน (Power Steering)      4. การเช็กและปรับลมยาง  การรักษาและปรับความดันลมในยางให้ถูกต้องตามคำแนะนำที่ระบุในคู่มือรถ ยางที่ดีจะช่วยให้ควบคุมรถยนต์ได้ดีและป้องกันการสูญเสียการดูดซับน้ำมัน ควรเช็กและเติมลมทุกวันหรืออย่างน้อยสองครั้งต่อสัปดาห์ การดูแลลมยางเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาประสิทธิภาพขับขี่และความปลอดภัยของรถเรา ซึ้งรถยนต์แต่ละรุ่นอาจมีความแตกต่างกันในขั้นตอนการเช็กและเปลี่ยนลมยาง ดังนั้น ควรตรวจสอบคู่มือการใช้งานหรือคู่มือรถของเรา เพื่อข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับรถแต่ละรุ่น      5. การเช็กระบบเบรกรถยนต์ ตรวจสอบระดับน้ำมันเบรก (Brake Fluid)  เปิดฝาที่จะเก็บน้ำมันเบรก และตรวจสอบระดับน้ำมัน ในกรณีที่ระดับต่ำเกินไป ควรเติมน้ำมันเบรกทันที ใช้น้ำมันที่ถูกต้องตามคำแนะนำในคู่มือของรถแต่ละรุ่น ตรวจสอบที่รั่ว (Check for Leaks)  ตรวจสอบบริเวณใต้รถหรือในที่จอดรถเพื่อตรวจหาการรั่วของน้ำมันเบรก หากพบการรั่ว ควรนำรถไปที่อู่เพื่อตรวจเช็กและซ่อมแซม ตรวจสอบผ้าเบรก (Check Brake Pads) ผ้าเบรกหน้าและหลัง ถ้าผ้าเบรกมีความหลุดหรือบางมาก หรือหากมีเสียงสะท้อนเมื่อใช้เบรก อาจต้องเปลี่ยนผ้าเบรก เพื่อความปลอดภัยในการใช้เบรก ตรวจสอบจานเบรก (Check Brake Discs/Rotors) สภาพจานเบรกหน้าและหลัง ถ้ามีรอยแตกร้าวหรือไม่สม่ำเสมอ อาจต้องทำการเจาะหรือเปลี่ยนจานเบรก ตรวจสอบระบบ ABS (Anti-lock Braking System) ทดสอบระบบ ABS โดยให้รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำ และทดสอบการใช้เบรก ถ้ามีปัญหาในระบบ ABS ควรนำรถไปซ่อมที่อู่ ทดสอบเบรก (Test the Brakes) ทดสอบระบบเบรกโดยทำการเบรกเบา ๆ และเบรกแรง ๆ เพื่อตรวจสอบความทำงานของระบบ ถ้ามีปัญหา ควรนำรถไปที่อู่เพื่อตรวจสอบความปลอดภัย       6. การดูแลรักษาแบตเตอรี่   แบตเตอรี่ถือเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์เพราะทำหน้าที่เก็บและสำรองกระแสไฟก่อนนำจ่ายไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ในรถยนต์ ขณะสตาร์ทและยังไม่สตาร์ทเครื่องยนต์ เช่น ระบบการจุดระเบิดเครื่องยนต์เพื่อให้เครื่องยนต์หมุนและติดเครื่องได้  ระบบไฟส่องสว่างภายในรถระหว่างที่ยังไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์ ดังนั้นเราต้องมีการหมั่น ตรวจสอบระดับน้ำ elektrolyte ในแบตเตอรี่ และทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ ระบบชาร์จที่สมบูรณ์จะช่วยให้รักษารถยนต์ของเรา ได้มีประสิทธิภาพที่ดี      7. การล้างรถ การล้างรถถือเป็นวิธีการ ดูแลรถเบื้องต้นที่ทุกคนสามารถทำได้เอง นอกจากจะเป็นการทำความสะอาดขจัดสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนตัวรถออกไปแล้ว ยังทำให้รถของเราแลดูใหม่ สีไม่ซีด ไม่มีสนิมเกาะ  แถมการล้างรถยังเป็นการตรวจเช็กสภาพรถทั้งภายในและภายนอก เช่น รอยขีดข่วนหรือร่องรอยสนิมที่อาจเกิดขึ้นบนผิวรถของเราอีกด้วย      8. เปลี่ยนแผ่นกรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ แผ่นกรองอากาศเป็นชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ป้องกันฝุ่นหรือดักจับสิ่งสกปรกที่จะเข้ามาภายในรถยนต์ โดยเฉพาะบ้านเราเป็นเมืองร้อน และมีฝุ่น PM ค่อนข้างสูงขึ้นในทุกๆปี หากไม่หมั่นตรวจเช็กให้แผ่นกรองอากาศสะอาดอยู่เสมอ อาจทำให้มีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันแผ่นกรองอากาศยังส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักมากกว่าปกติอีกด้วย      9. ใบปัดน้ำฝน ที่ปัดน้ำฝนเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ทัศนวิสัยการมองเห็นของผู้ขับขี่ ของเราดีขึ้นเมื่อต้องขับรถตอนฝนตกหนัก หรือเผชิญสภาพอากาศหนาวจัดหมอกลง ถ้าเช็กแล้วพบว่าที่ปัดน้ำฝนของเรา ไม่สามารถปัดน้ำบนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนก่อน หรือทิ้งคราบน้ำไว้บนกระจกรถ นั่นแสดงว่าใบปัดน้ำฝนของเรา เริ่มเสื่อมสภาพตามการใช้งาน ควรเปลี่ยนใหม่ทันที เพื่อความปลอดภัยเวลา ขับรถช่วงหน้าฝน              9 วิธีแสนง่ายกับการดูแลรักษารถยนต์ นอกจากจะเห็นถึงประโยชน์ของการบำรุงรักษารถยนต์ที่ช่วยยืดอายุให้รถอยู่คู่กับเราไปนาน ๆ ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถ อีกทั้งเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถแต่ละครั้งถ้าเราหมั่นตรวจสอบและดูแลอย่างเป็นประจำ

503 19 ก.ย. 2567, 04:34

มือใหม่หัดขับต้องรู้ !! เทคนิคง่าย ๆ ขับขี่ปลอดภัย

ยุคนี้สมัยนี้ใคร ๆ ก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ดูแลตัวเอง และนี่ก็เป็นก้าวสำคัญ ของการเข้าสู่อิสระอย่างแท้จริง   เราขอแสดงความยินดีกับ คุณทั้งหลายที่พึ่งสอบผ่าน และหากเพิ่งได้รับใบขับขี่รถยนต์เป็นที่เรียบร้อย ถึงอย่างไรสิ่งที่กล่าวมาพึ่งเริ่มต้น เพราะทุกการขับขี่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวังต่อส่วนรวมของผู้ใช้รถ ใช้ถนนร่วมกัน  และสิ่งสำคัญของการขับขี่อย่างปลอดภัย อย่าลืมเป็นอันขาดว่าถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณ อยู่หลังพวงมาลัย  จำไว้ว่าไม่ได้กระทบแค่ต่อตัวเรา แต่ยังกระทบไปถึงผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ฉะนั้น เราจะขอรวบรวมข้อมูล เทคนิคในการขับรถให้ปลอดภัยและเคล็ดลับต่างๆ ที่จะช่วยให้มือใหม่หัดขับอย่างคุณ มีเทคนิคในการขับรถให้ปลอดภัยด้วยความสนุก และไม่ประมาท อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญของการขับขี่อีกข้อคือ การบำรุงดูแลรักษารถยนต์  เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด เพื่อเป็นการป้องกัน และลดการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการขับขี่                                   1.ศึกษาและเคารพกฎจราจร  ทำความเข้าใจกฎจราจรและสัญญาณจราจรที่สำคัญ เพราะนี่คือเหตุผลของการสอบใบขับขี่ ที่จะต้องผ่านการอบรม สอบให้ผ่านทั้ง  “ ภาคทฤษฎี  ” และ “ภาคปฏิบัติ ” เรียนรู้ทุกเครื่องหมายถนน เครื่องหมายจราจร รวมทั้งป้ายบอกทางทั้งหมด กฎข้อบังคับที่ผู้ขับขี่ต้องมี การขับขี่อย่างปลอดภัย ทุกคนต้องเข้าใจและปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายอย่างเคร่งครัด           2.ความคุมความเร็ว ขับขี่ให้ช้าลง การขับขี่ด้วยความเร็วเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงหลักของการเกิดอุบัติเหตุ โดยทั่วไปยิ่งความเร็วมากขึ้น เวลาที่เราจะใช้ในการหยุดและควบคุมรถก็จะน้อยลงไปด้วย หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เราอาจไม่สามารถควบคุมรถ และหลีกเลี่ยงการปะทะ การบาดเจ็บได้อย่างแน่นอน           3.หมั่นดูแลตรวจ รักษารถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน การหมั่นดูแลรักษารถอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ตรวจเช็กระยะทางสภาพเครื่องยนต์ ตรวจสอบลม ตรวจเช็กผ้าเบรก น้ำยาหล่อเย็น น้ำกลั่น แบตเตอรี่ ไปจนถึงการเติมน้ำมัน ไม่ให้ระดับมาตรวัด ใกล้ขีด น้ำมัน “หมดถัง” จนเกินไป           4.หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ขณะขับ การใช้โทรศัพท์ขณะขับรถมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ควรปิดการใช้งาน หรือใช้โทรศัพท์เล่นมือถือ เพราะขณะขับรถต้องใช้สายตามองที่ถนนตลอดเวลา ทำให้เราเสียสมาธิในการขับขี่ จึงควร งดตอบแชต  งดโทร งดกิน หรือหาของ  หรือแม้แต่การหันไปคุยกับเพื่อนๆ ที่เบาะหลัง เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หรือเพียงแค่เสี้ยววินาที ซึ่งถ้าเรามีสติไม่ว่อกแว่ก จะสามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้มากขึ้น           5.คาดเข็มขัดนิรภัย การใส่เข็มขัดนิรภัย (seatbelt) เป็นมาตรการที่สำคัญและมีผลในการป้องกันอุบัติเหตุรถยนต์ ไม่ว่าเรา จะขับรถเพียงสั้น ๆ หรือไปไหนก็ตาม เราควรใส่เข็มขัดทุกครั้ง และทุกคนในรถ ไม่ว่าจะเป็นคนขับหรือผู้โดยสารเพื่อความปลอดภัยของทุกคน           6.ปรับอุปกรณ์ให้เข้าที่และเรียนรู้อุปกรณ์ควบคุม เพื่อให้มีการขับขี่ที่ดี การปรับที่นั่งในรถเป็น ปรับที่นั่งให้ถูกต้อง เพื่อให้เรามีความสะดวกสบายและควบคุมที่ดี และต้องหมั่นฝึกการใช้พวงมาลัยและเบรก ทดลองหมุนพวงมาลัยทางซ้ายและทางขวา และทดสอบระบบเบรก ทำการรู้จักอุปกรณ์ควบคุม เรียนรู้วิธีใช้เป็นที่เรียบร้อยกับหน้าปัดน้ำฝน เบรก มือ ไฟสัญญาณ และอื่น ๆ เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุ           7.เตรียมความพร้อมอยู่เสมอ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ รถเสีย หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ เราควรเตรียมเอกสารที่เกี่ยวกับรถยนต์ เช่นคู่มือเอกสารประกันรถ เบอร์โทรติดต่อฉุกเฉิน หรือยางอะไหล่ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว เตรียม ให้พร้อมไว้ในรถเสมอ โดยเฉพาะอุปกรณ์ช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน เพื่อใช้ขณะที่รอการช่วยเหลือ           8.อย่าขับรถจี้คันหน้า การขับรถจี้รถคันหน้ามากไป หรือขับใกล้เกินไป เป็นหนึ่งในสาเหตุต้นๆ ในการเกิดอุบัติเหตุจากการชนท้าย เราควรทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 20-30 เมตร ขึ้นอยู่กับการขับด้วยอัตราเร็ว 10 กม./ ชม. ควรจะเว้นระยะห่างไว้ 5 เมตร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าวิ่งด้วยอัตราเร็ว 60 กม./ชม. จะเว้นระยะห่างไว้ 30 เมตร           9.ตรวจสอบสภาพอากาศ การขับรถในสภาพอากาศ ฝน และ ลม หมอกหนา ต่างเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงสูง และอันตรายในการขับขี่ หากพื้นผิวถนนเปียก ฝนตก เราต้องเปิดไฟหน้ารถ  ชะลอความเร็วของรถ รวมทั้งเพิ่มระยะห่างกับรถคันหน้า เพราะสภาพถนนเปียกต้องการระยะเบรกที่มากขึ้นกว่าเดิม  และหากต้องเจอสถานการณ์เกินควบคุม ให้หาที่จอดที่ปลอดภัยจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด           10.อย่าขับรถในสภาพที่ไม่พร้อม หลีกเลี่ยงการดื่ม อย่าขับรถในสภาพที่ไม่พร้อม ไม่ว่าจะด้วยความมึนเมา ยาเสพติด หรือ นอนไม่เพียงพอ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ความสามารถในการขับรถลดลงมาก และเป็นอันตราย การปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้เรา มีประสบการณ์ขับรถที่ปลอดภัยและเพลิดเพลินไปกับทริปของเรา การมีสติ ระมัดระวัง และการทำซ้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราเป็นคนขับที่ดีและปลอดภัยตลอดการเดินทาง

699 19 ก.ย. 2567, 06:09

รู้หรือไม่ ? ใบขับขี่ประเทศไทยใช้ได้ทั่ว ASEAN

ใครทำใบขับขี่ไทยแบบ Smart card เรียบร้อยแล้วเราสามารถนำไปใช้ยังประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนได้ถึง 10 ประเทศ  โดยไม่จำเป็นต้องทำใบขับขี่สากล เนื่องจากเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศอาเซียนในการขับขี่รถยนต์ข้ามแดนได้ (บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด)                                           ใบอนุญาตขับขี่แบบ Smart card สามารถใช้ขับขี่รถยนตร์ได้ทั้ง 10 ประเทศ          ในกลุ่มประเทศ AEC มีการทำอนุสัญญาข้อตกลงว่าด้วยการยอมรับใบขับขี่ภายในซึ่งกันและกันทั้งหมด 10 ประเทศ ตามข้อตกลงที่ได้ทำไว้ อนุญาตให้ใช้ใบขับขี่แบบใหม่ของประเทศไทย หรือที่เรียกว่า “ใบอนุญาตขับรถ Smart card” ที่มีแถบแม่เหล็กและเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่รองรับการจัดเก็บข้อมูลการขับขี่ รองรับการติดตามด้วย GPS Tracking มีความทันสมัยและน่าเชื่อถือ ทำให้ “ใบอนุญาตขับรถ Smart card” แบบใหม่นี้เป็นที่ยอมรับกันในกลุ่มประเทศ AEC และสามารถใช้แทนใบขับขี่สากลได้ แต่บางประเทศอาจจะต้องมีการใช้เอกสารอื่นๆ ประเทศสมาชิกอาเซียนที่รับรองใบขับขี่ประเภทสามสามารถขับรถด้วยใบขับขี่ประเภทนี้ได้ดังนี้:           1.ประเทศไทย    2.มาเลเซีย    3.สิงคโปร์    4.ฟิลิปปินส์    5.อินโดนีเซีย            6.บรูไน             7.กัมพูชา      8.ลาว          9.เวียดนาม    10.เมียนมาร์ (พม่า) เนื่องจากเป็นหนึ่งในข้อตกลงระหว่างประเทศเทศสมาชิกอาเซียน โดยบัตร Smart card มีการบันทึกข้อมูลเป็นภาษาไทยและอังกฤษ  อีกทั้ง รถที่จดทะเบียนในประเทศไทย ก็สามารถใช้ได้ใน 10 ประเทศทั่วอาเซียนเช่นเดียวกันกับใบอนุญาต แต่การนำไปใช้ประเทศอื่น จะต้องขอรับป้ายทะเบียนภาษาอังกฤษสำหรับการนำรถไปใช้ในต่างประเทศ  ก่อนขับรถในต่างประเทศ ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง เอกสารการยื่นเอกสารขอพาสปอร์ตรถ และ แผ่นป้ายทะเบียนรถที่เป็นภาษาอังกฤษ สำเนารับรองหนังสือจดทะเบียนรถ สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ หรือสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (รถติดไฟแนนซ์) หนังสือบมอบอำนาจ (กรณีไม่ได้ดำเนินการด้วยตัวเอง) สำเนาบัตรประชาชนผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ เอกสารสำหรับการขับรถข้ามประเทศ ยื่นเรื่องขอเอกสารสำหรับรถได้ที่ขนส่งทุกจังหวัด หนังสืออนุญาตรถระหว่างประเทศหรือพาสปอร์ตรถ เครื่องหมายแสดงประเทศ (สติกเกอร์ตัว T) หนังสือรับรองการตรวจสภาพรถ เพื่อการใช้รถนอกราชอาณาจักร แผ่นป้ายทะเบียนรถภาษาอังกฤษ หนังสือรับรองการจดทะเบียนฉบับภาษาอังกฤษ เอกสารสำหรับคนขับนอกประเทศ ในกรณี ขับขี่ในประเทศ AEC : สามารถใช้ใบอนุญาตขับขี่ไทยที่มีอยู่ได้เลย ในกรณี ขับขี่นอกประเทศ AEC : จะต้องมีใบอนุญาตขับขี่สากล สามารถยื่นเรื่องติดต่อได้ที่กรมการขนส่งทางบกจังหวัด และต้องต่ออายุปีต่อปี เช่นเดียวกับพาสปอร์ตรถ เอกสารที่ต้องยื่นออกจากชายแดนไทย ต.ม. 2 รายการเกี่ยวกับยานพาหนะขาเข้าและขาออก ต.ม. 3 บัญชีคนโดยสาร (สำเนาทะเบียนรถพร้อมหน้าเสียภาษี, สำเนาใบขับขี่ และเอกสารของผู้นำรถออก) หนังสืออนุญาตรถระหว่างประเทศ เอกสารยื่นเข้าชายแดนประเทศปลายทาง หนังสือขออนุญาตใช้รถในพื้นที่ของแต่ละประเทศ และในบางประเทศต้องดำเนินเอกสารล่วงหน้าก่อนวันเดินทาง ซื้อประกันภัยบุคคลที่ 3 ของประเทศนั้น ซึ่งสามารถซื้อได้ที่ด่านตรวจชายแดนเลย                                                                           รูปแบบใบขับขี่สมาร์ทการ์ดที่ใช้ในกลุ่มอาเซียนต้องมีลักษณะดังนี้ ด้านหน้าบัตรจะต้องมีภาพธงชาติไทย มีรูปตราสัญลักษณ์กรมการขนส่งทางบก เป็นลายน้ำ 7 สี และมีรูปกราฟิกตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดของแต่ละจังหวัด และ มีสติ๊กเกอร์ภาพสะท้อนแสง พร้อมระบบป้องกันการปลอมแปลงซึ่งซ่อนอยู่ในบัตร มีข้อมูลของผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถที่เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ภาพถ่ายของผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถเป็นภาพถ่ายจริง ณ วันที่ ทำใบอนุญาตขับรถ พร้อมระบุจังหวัดที่ออกใบอนุญาตขับรถ ส่วนด้านหลังบัตรจะมีแถบแม่เหล็กเก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ มีการบันทึกข้อจำกัดในการใช้ใบอนุญาตขับรถ มีภาพอธิบายประเภทของรถที่ได้รับอนุญาตตามชนิดของใบอนุญาตขับรถ มีลายเซ็นของนายทะเบียนจังหวัดที่ออกใบอนุญาตขับรถ และระบุที่อยู่ของผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถตามข้อมูลของทะเบียนราษฎร                                                                                 การยอมรับใบขับขี่ประเภทสามต่างกันขึ้นอาจมีข้อกำหนดและเงื่อนไขเฉพาะตามแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน. เราควรตรวจสอบกับหน่วยงานจราจรหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบสำหรับการขับรถในประเทศที่เราต้องการเดินทางเพื่อทราบข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ใบขับขี่ประเภทสามในประเทศนั้น.

681 19 ก.ย. 2567, 04:34


Scroll to Top