การแต่งรถหรือดัดแปลงสภาพรถแบบไหนที่ต้องแจ้งลงเล่มก่อนนำไปใช้งาน มิเช่นนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย มีโทษปรับสูงสุดถึง 5,000 บาท
การแต่งรถถือเป็นการดัดแปลงสภาพรถให้ต่างไปจากเดิม เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องนำรถเข้าตรวจสภาพและแก้ไขรายละเอียดในเอกสารคู่มือจดทะเบียนรถก่อนนำไปใช้งาน แต่ทั้งนี้ การดัดแปลงสภาพรถบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งต่อขนส่งเสมอไป
การดัดแปลงสภาพรถที่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจสภาพและแก้ไขรายละเอียดในคู่มือจดทะเบียน เป็นการดัดแปลงที่ส่งผลต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวรถ หรือการติดตั้งเพื่อใช้บรรทุกสิ่งของให้ได้ปริมาณมากขึ้น เช่น การติดตั้งโครงหลังคา, เปลี่ยนเครื่องยนต์, เปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง ฯลฯ ซึ่งการดัดแปลงที่ส่งผลต่อความมั่นคงแข็งแรงและโครงสร้างหลักของตัวรถ ต้องนำรถเข้าตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรง ที่สำนักงานขนส่งที่รถจดทะเบียนไว้
หากพบว่ามีการแก้ไขดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก เจ้าของรถจะมีความผิดตามกฎหมาย หากเป็นรถตาม พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ.2522 มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท กรณีเป็นรถตาม พ.ร.บ. ขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
การแก้ไขดัดแปลงสภาพรถที่ต้องแจ้งขออนุญาตต่อนายทะเบียน ประกอบด้วย
การเปลี่ยนเครื่องยนต์
การเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง
แก้ไขดัดแปลงตัวถังรถ
ระบบบังคับเลี้ยว และระบบขับเคลื่อน
การเปลี่ยนสีรถ
ระบบกันสะเทือน
ระบบรองรับน้ำหนัก เช่น เสริมแหนบ, โหลดเตี้ย, ยกสูง
การติดตั้งโครงหลังคาหรือเหล็กด้านข้างรถ
ติดตั้งอุปกรณ์ทุ่นแรงยกสิ่งของ (Tail Lift)
การแก้ไขดัดแปลงสภาพที่ไม่ต้องแจ้งขออนุญาตต่อนายทะเบียน ประกอบด้วย
แร็คหลังคา
โรลบาร์
สปอยเลอร์
กันชน
อุปกรณ์ขนจักรยาน
แม็กไลน์เนอร์
ทั้งนี้ การดัดแปลงสภาพที่ไม่ต้องแจ้งต่อกรมการขนส่งทางบก เป็นการติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งรถหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เพียงเล็กน้อย ไม่ทำให้สภาพของรถเปลี่ยนแปลงไป หากขนาดและตำแหน่งในการติดตั้งเหมาะสมและมีความมั่นคงแข็งแรงปลอดภัย รวมถึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและจิตใจของผู้อื่น
ส่วนกรณีที่มีการเปลี่ยนสีตัวถังรถไปจากที่จดทะเบียนไว้ ต้องแจ้งเปลี่ยนสีรถภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันเปลี่ยนสีรถ สามารถแจ้งได้ที่สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.sanook.com/
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ:
Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์
Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า)
โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377
อีเมล : contact@iddrives.co.th
136
8 เม.ย. 2568, 02:49
รถที่มีการแก้ไขดันแปลงสภาพ จะตรวจสภาพรถผ่านไหม
ทุกวันนี้รถยนต์กลายเป็นยานพาหนะที่ผู้คนเลือกใช้เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ และเพื่อให้รถคันโปรดสวย เท่ห์ ตรงใจ เจ้าของรถหลายคนเลือกแต่งรถยนต์ให้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น แต่รู้ไหมว่า การแต่งรถหรือดัดแปลงสภาพรถยนต์ให้เปลี่ยนไปจากเดิมที่จดทะเบียนไว้ นอกจากส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนแล้ว หากแต่งเกินขอบเขตที่กำหนดอาจเสี่ยงโดนตำรวจเรียกในข้อหาดัดแปลงสภาพรถยนต์ได้ สำหรับใครที่มีรถแต่งในครอบครอง มาดูกันว่าแต่งรถแบบไหนผิดกฎหมาย และรถแต่ง ตรวจสภาพผ่านไหม
รถแต่งคืออะไร มีกี่ประเภท
รถยนต์ที่ถูกดัดแปลงหรือปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถให้ดูโดดเด่นและแตกต่างไปจากสภาพเดิม ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งเครื่องยนต์ แต่งเครื่องเสียง แต่งล้อแม็ก โหลดเตี้ย เปลี่ยนพวงมาลัย หรือเปลี่ยนสีคอนโซลหน้ารถ แต่บางคนอาจเลือกปรับแต่งแบบจัดเต็มทั้งคันจนไม่เหลือเค้าเดิมรถตามมาตรฐานที่โรงงานผลิตออกมา และถ้าถามว่าการแต่งรถมีกี่ประเภท คำตอบคือ หลายประเภทตามการใช้งานและวัตถุประสงค์ของผู้ครอบครองรถคันดังกล่าว เช่น
แต่งรถแบบสปอร์ต เป็นการเพิ่มสมรรถนะ เพิ่มความสวยงามโดดเด่น โดยบางคันอาจปรับแต่งรถเพื่อไว้ใช้แข่งในสนามแข่ง
แต่งรถแบบ VIP คือ การแต่งรถให้มีความหรูหราโดดเด่นสะดุดตา แต่ยังเน้นเรื่องความสะดวกสบายต่อการใช้งาน วิธีการปรับเปลี่ยนสภาพรถอาจมีการเลือกบุหนังภายในรถใหม่ หรือตกแต่งลายไม้ในห้องโดยสารให้ดูหรูหรากว่าเดิม
แต่งรถแบบโลว์ไรเดอร์ เป็นการดัดแปลงช่วงล่างให้เตี้ยลงหรือที่เรียกกันว่า การโหลดเตี้ยซึ่งนิยมแต่งรถเก๋งและรถกระบะ
แต่งรถแบบ Turing Car หรือ TG คือการแต่งรถเพื่อไว้แข่งขันบนทางเรียบ
แต่งรถแบบ Muscle Car เป็นวิธีแต่งรถที่ทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์
แต่งรถแบบ Rally คือการแต่งรถกระบะสำหรับการใช้งานแบบลุย ๆ
ดัดแปลงสภาพรถมีขั้นตอนอย่างไร แบบไหนต้องขออนุญาต
สำหรับการดัดแปลงสภาพรถที่ต้องแจ้งขออนุญาตต่อนายทะเบียน เป็นกรณีที่ทำการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงสภาพรถให้ผิดไปจากรายการที่ได้จดทะเบียนไว้ เช่น
เปลี่ยนเครื่องยนต์
เปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง
ดัดแปลงตัวถังรถ
ดัดแปลงระบบรองรับน้ำหนัก ระบบกันสะเทือน (เช่น เสริมแหนบ โหลดเตี้ย ยกสูง เปลี่ยนถุงลมเป็นสปริง หรือสปริงเป็นถุงลม)
ติดตั้งโครงหลังคา หรือโครงเหล็กด้านข้างรถ
ฝาปิดด้านท้ายติดตั้งอุปกรณ์ทุ่นแรงเพื่อยกสิ่งของ
ดัดแปลงระบบบังคับเลี้ยว หรือระบบขับเคลื่อน
เปลี่ยนสีรถ
ซึ่งถ้ารถคันโปรดของคุณทำการดัดแปลงตามลักษณะข้างต้น ต้องทำการขออนุญาตและแจ้งดัดแปลงสภาพรถยนต์กับกรมการขนส่งทางบก โดยการแจ้งขออนุญาตมี 2 กรณี คือ (1) ขออนุญาตก่อนแก้ไขดัดแปลงสภาพรถ และ (2) ขออนุญาตหลังแก้ไขดัดแปลงสภาพรถ ขณะที่ขั้นตอนการแจ้งขออนุญาตแบ่งเป็น 2 ส่วน นั่นคือ ส่วนตรวจสภาพรถและส่วนของงานทะเบียน โดยมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนตรวจสภาพรถ
กรณีแจ้งขออนุญาตก่อนแก้ไขดัดแปลงสภาพรถ
สำหรับการดัดแปลงที่กระทบต่อความมั่นคงปลอดภัย เช่น โครงแชสซีส์ ตัวถัง ระบบบังคับเลี้ยว ระบบกันสะเทือน และช่วงล้อ ต้องทำการขออนุญาตก่อนแก้ไขดัดแปลงสภาพรถ
(1) ยื่นคำขอพร้อมเอกสาร
(2) ตรวจสอบเอกสาร ถ่ายภาพรถ และลอกเลขตัวถังเก็บไว้เป็นหลักฐาน
(3) หากไม่มีปัญหาเรื่องความมั่นคงแข็งแรงจะให้ยื่นขออนุญาตใช้รถ โดยจะมีการตรวจสอบเอกสารและตรวจสภาพรถอีกครั้ง เพื่อยื่นขอแก้ไขรายละเอียดในการจดทะเบียน (ลงเล่ม) ในส่วนของงานทะเบียนต่อไป
กรณีแจ้งขออนุญาตหลังแก้ไขดัดแปลงสภาพรถ
(1) ยื่นคำขอพร้อมเอกสาร
(2) ตรวจสอบเอกสาร และทำการตรวจสภาพรถ
(3) หากผ่านการตรวจสอบจะทำการบันทึกข้อมูลการตรวจสภาพรถ เพื่อยื่นขอแก้ไขรายละเอียดในการจดทะเบียน (ลงเล่ม) ในส่วนของงานทะเบียนต่อไป
(4) ถ้าไม่ผ่านการตรวจสอบจะมีการแจ้งข้อบกพร่องและคืนเรื่อง
ส่วนงานทะบียน
(1) ยื่นคำขอพร้อมเอกสาร
(2) เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานประกอบและคำขอ พร้อมผลการตรวจสภาพ
(3) ถ้าเข้าข่ายต้องชำระภาษีสรรพสามิตและมีหลักฐานการชำระภาษีแล้ว หรือไม่ต้องชำระภาษีสรรพสามิต เจ้าหน้าที่จะทำการบันทึกรายละเอียดการดัดแปลงลงเล่ม
(4) ชำระค่าธรรมเนียมและรับเล่มทะเบียนคืน
รถแต่งต่อทะเบียนได้ไหม
ใครที่กำลังสงสัยว่า รถแต่ง ต่อภาษีรถยนต์ ต้องตรวจสภาพรถไหม หรือ รถแต่ง ต่อ พรบ ได้ไหม ? คำตอบคือ ถ้ามีการดัดแปลงสภาพรถยนต์และดำเนินการขออนุญาตกับกรมการขนส่งทางบกอย่างถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ก็สามารถทำการต่อทะเบียนรถยนต์ได้ตามปกติ แต่ถ้าแต่งรถโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือขัดต่อกฎหมาย นอกจากโดนปรับฐานฝ่าฝืนนำรถที่ปรับแต่งโดยไม่ได้รับอนุญาตมาใช้งานบนท้องถนน ถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยนสภาพรถให้กลับมาถูกต้อง รถคันดังกล่าวอาจถูกห้ามนำมาใช้งาน
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://pirellibyatv.com/
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ:
Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์
Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า)
โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377
อีเมล : contact@iddrives.co.th
403
8 เม.ย. 2568, 11:02
มอไซค์ล้ม ไม่มีคู่กรณี เบิก พ.ร.บ. ได้ไหม?
เมื่ออุบัติเหตุเกิดได้ทุกเมื่อ แม้ว่าเราจะระวังแค่ไหนก็ตาม ก็อาจมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับเราได้ เช่น ขี่มอเตอร์ไซค์ชนฟุตบาท หรือรถมอเตอร์ไซค์เสียหลักลื่นล้มจนได้รับบาดเจ็บ แล้วถ้าหากรถล้มแบบไม่มีคู่ กรณี จะเบิก พ.ร.บ. ได้ไหม? ANC มีคำตอบ!
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี เช่น รถล้มเอง หรือ รถเสียหลักชนกับสิ่งกีดขวาง จนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หากรถมอเตอร์ไซค์คันที่เกิดเหตุมี พ.ร.บ. มอเตอร์ไซค์ ที่ถูกต้องตามกฎหมายและยังไม่หมดอายุ ผู้ประสบจากรถมอเตอร์ไซค์คันนั้น รวมทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก จะได้รับความคุ้มครองเฉพาะ “ค่าเสียหายเบื้องต้น” เท่านั้น
ค่าเสียหายเบื้องต้น
1. กรณีบาดเจ็บ ผู้ประสบภัยสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาล (จ่ายตามจริง) ได้สูงสุดคนละไม่เกิน 30,000 บาท
2. กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพ สามารถเบิกค่าชดเชยได้คนละ 35,000 บาท (หากผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายทั้ง 2 กรณี สามารถเบิกรวมกันไม่เกินคนละ 65,000 บาท)
ความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. รถมอเตอร์ไซค์ (อุบัติเหตุไม่มีคู่กรณี)
ค่ารักษาพยาบาล กรณีบาดเจ็บ
1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน / สำเนาหนังสือเดินทาง หรือหลักฐานที่ทางราชการออกให้ ที่สามารถพิสูจน์ตัวตนผู้ประสบภัย
2. ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาล (ฉบับจริง)
ค่าทดแทนสินไหม กรณีสูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร
1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ประสบภัย
2. ใบรับรองแพทย์
3. หนังสือรับรองคนพิการ
4. สำเนาบันทึกประจำวันหรือหลักฐาน ที่แสดงว่าประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ค่าทดแทนสินไหม กรณีเสียชีวิต
1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ประสบภัย
2. ใบมรณบัตรของผู้ประสบภัย
3. สำเนาบัตรปชช และสำเนาทะเบียนบ้านของทายาทโดยธรรม
4. สำเนาบันทึกประจำวันหรือหลักฐาน ที่แสดงว่าประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
จะเห็นได้ว่าการมี พ.ร.บ. นั่น เป็นประโยชน์มาก นอกจากบรรเทาค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วนั้น
ต่อให้เมื่อเกิดเหตุจะมีคู่กรณี หรือ ไม่มีคู่กรณีก็ตาม พ.ร.บ. ก็ยังคงคุ้มครอง แต่ พ.ร.บ ต้องห้ามอายุเด็ดขาด เพราะจะไม่ได้รับความคุ้มครองใด ๆ จาก พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์เลยค่ะ
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.prakun.com/
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ:
Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์
Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า)
โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377
อีเมล : contact@iddrives.co.th
218
8 เม.ย. 2568, 12:22
พ.ร.บ. รถยนต์ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องต่อทุกปี
สำหรับคนที่มีรถยนต์ย่อมต้องคุ้นเคยกับคำว่า พ.ร.บ. รถยนต์ ขณะที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า พ.ร.บ. รถยนต์คืออะไรกันแน่ และทำไมเมื่อครบกำหนดต้องไปเดินเรื่องเพื่อต่อ พ.ร.บ. รถยนต์กันทุกปี แล้วถ้าไม่ต่อล่ะ...จะมีปัญหาอะไรหรือไม่? บทความนี้มีคำตอบ
ทำความรู้จักกับ พ.ร.บ. รถยนต์
คำว่า พ.ร.บ. นั้นย่อมาจากคำว่า พระราชบัญญัติ ซึ่ง พ.ร.บ. รถยนต์ ก็คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ กฎหมายกำหนดให้รถทุกคันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกต้องทำ พ.ร.บ. รถยนต์เอาไว้เป็นหลักประกันให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนว่าจะได้รับความคุ้มครองหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ พ.ร.บ. รถยนต์คือประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับที่กฎหมายกำหนด นั่นเอง
พ.ร.บ. รถยนต์ คุ้มครองอะไรบ้าง
พ.ร.บ. รถยนต์นั้น เป็น พ.ร.บ. ที่ให้ความคุ้มครองแก่ “ผู้ใช้รถใช้ถนน” ซึ่งอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ “คุ้มครองคน” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ “ไม่ได้คุ้มครองรถ” ด้วย ขยายความได้อีกนิดก็คือ หาก “คนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต” จากอุบัติเหตุต่างๆ จะได้รับเงินชดเชยตามที่ พ.ร.บ. รถยนต์กำหนดเอาไว้ แต่จะไม่ได้รับ “ค่าซ่อมรถ” ที่เสียหาย และความคุ้มครองของ พ.ร.บ. รถยนต์นั้นครอบคลุมทั้งเจ้าของรถและบุคคลภายนอกโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด หรือพูดให้เข้าใจง่ายคือ “จ่ายค่าเสียหายให้แก่ทุกฝ่ายทันทีโดยไม่ต้องสืบหาว่าใครเป็นฝ่ายผิด”
วงเงินคุ้มครองของ พ.ร.บ. รถยนต์นั้น มีดังนี้
1. สำหรับค่าเสียหายเบื้องต้น จะได้รับทันทีโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด ดังนี้
ค่ารักษาพยาบาลในกรณีได้รับบาดเจ็บ จ่ายให้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท หากต่อมาพิการหรือทุพพลภาพ จะจ่ายให้เพิ่ม แต่รวมแล้วไม่เกิน 65,000 บาทต่อคน
กรณีสูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวรทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ จ่ายให้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อคน
กรณีเสียชีวิต หากเสียชีวิตทันทีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ จะจ่ายค่าทำศพให้ 35,000 บาทต่อคน แต่หากเสียชีวิตภายหลังจะจ่ายแบบเหมารวมกับค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 65,000 บาทต่อคน
2. สำหรับค่าเสียหายส่วนเกิน ซึ่งจะมีการจ่ายชดเชยหลังจากพิสูจน์ความผิดแล้ว บริษัทประกันของฝ่ายที่กระทำผิดจะชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ประสบภัยหรือทายาท ดังนี้
ค่ารักษาพยาบาลกรณีได้รับบาดเจ็บ จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมค่าสินไหมทดแทนให้ไม่เกิน 80,000 บาท
กรณีสูญเสียอวัยวะ ได้แก่ มือ แขน เท้า ขา ตา ตั้งแต่ 2 อย่างหรือ 2 ข้างขึ้นไป หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จะจ่ายชดเชยรวมถึงค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
กรณีสูญเสียอวัยวะ ได้แก่ หูหนวก เป็นใบ้ เสียความสามารถในการพูด สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์ มือ แขน ขา เท้า ตา 1 อย่าง หรือ 1 ข้าง จะจ่ายชดเชยรวมถึงค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 250,000 บาท
กรณีทุพพลภาพถาวร จะจ่ายชดเชยรวมค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท
กรณีเสียชีวิต จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมถึงค่ารักษาพยาบาล (ในกรณีเสียชีวิตภายหลัง) สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
เงินชดเชยเมื่อต้องนอนโรงพยาบาล (ผู้ป่วยใน) จ่ายวันละ 200 บาท รวมไม่เกิน 20 วัน
การคุ้มครองดังกล่าวสามารถร้องขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นได้ภายใน 180 วันนับตั้งแต่วันที่เกิดความเสียหาย
ราคา พ.ร.บ. รถยนต์แต่ละประเภทอยู่ที่เท่าไร
พ.ร.บ. รถยนต์แต่ละประเภทนั้นมีราคาแตกต่างกันออกไปตามประเภทของรถ ซึ่งสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล ราคาของ พ.ร.บ. รถยนต์ตามมาตรฐานปกติของกรมการขนส่งทางบกจะมีดังนี้ (ไม่รวมภาษีอากร)
รถเก๋ง 4 ประตู ราคาต่อ พ.ร.บ. อยู่ที่ 600 บาท
รถกระบะ ราคาต่อ พ.รบ. อยู่ที่ 900 บาท
รถตู้ขนาดไม่เกิน 15 ที่นั่ง ราคาต่อ พ.ร.บ. อยู่ที่ 1,100 บาท
พ.ร.บ. รถยนต์ จำเป็นต้องต่อทุกปีหรือไม่ ถ้าหากทำประกันภัยรถยนต์เอาไว้แล้ว
คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตที่ผู้ใช้รถหลายคนต้องการคำตอบ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้รถมือใหม่ที่อาจสับสนว่า ในเมื่อมีการคุ้มครองเหมือนกัน ทำประกันภัยรถยนต์ตัวเดียวโดยไม่ต้องต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ได้หรือไม่
คำตอบคือ “ไม่ได้” เนื่องจาก พ.ร.บ. รถยนต์เป็นการทำประกันภัยภาคบังคับตามกฎหมาย นั่นหมายความว่าเราจำเป็นต้องต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ทุกปี อีกทั้งยังต้องใช้ส่วนท้ายของ พ.ร.บ. รถยนต์ไปต่อภาษีรถประจำปี รวมทั้งไปต่อป้ายทะเบียนรถอีกด้วย
เรียกได้ว่าเป็น “ภาคบังคับ” ที่ต้องทำจริงๆ
ถ้าไม่ต่อ พ.ร.บ. รถยนต์จะเป็นอย่างไร
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า พ.ร.บ. รถยนต์เป็นประกันภัยภาคบังคับ จึงจำเป็นต้องต่อทุกปี ถ้าหากไม่ต่อก็จะถือว่ากระทำผิดกฎหมาย โดยต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท อีกทั้งหากใช้รถคันที่ไม่ได้ต่อ พ.ร.บ. รถยนต์แล้วประสบอุบัติเหตุ ก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. รถยนต์อีกด้วย
สรุปง่ายๆ ก็คือ พ.ร.บ. รถยนต์เป็นประกันภัยภาคบังคับที่รถทุกคันต้องมีไว้เพื่อรับความคุ้มครองเบื้องต้นนั่นเอง ซึ่งราคา พ.ร.บ. รถยนต์นั้นไม่สูง เมื่อครบกำหนดควรไปต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ให้เรียบร้อย จะได้รับความคุ้มครองที่แสนคุ้มค่า
แต่แม้จะได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. รถยนต์แล้วก็ตาม การขับรถอย่างระมัดระวัง ไม่ประมาท โดยไม่ให้เกิดอุบัติเหตุแต่แรกเลยย่อมดีที่สุด
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.tipinsure.com
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ:
Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์
Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า)
โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377
อีเมล : contact@iddrives.co.th
203
8 เม.ย. 2568, 07:35
ในวันนี้เราก็นำเกร็ดความรู้มาฝากกันเล็กน้อย เชื่อว่าทุกคนคงเคยเห็นป้ายทะเบียนรถที่วิ่งกันอยู่ตามท้องถนน สีดำบ้าง สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง มีสีต่างๆมากมายเต็มไปหมด แต่เคยรู้หรือไม่ว่าความหมายจริงๆของแต่ละสีคืออะไร แตกต่างกันอย่างไร ใช้งานแบบไหน ? ไปอ่านกัน !
ป้ายสีขาวสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ : รถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน และรถจักรยานยนต์
ป้ายสีขาวสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีน้ำเงิน : รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน
ป้ายสีขาวสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีเขียว : รถบรรทุกส่วนบุคคล เช่น รถกระบะ รถบรรทุกขนาดเล็ก
ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ : รถจักรยานยนต์ / รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน
ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีแดง : รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด
ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีน้ำเงิน : รถยนต์ 4 ล้อรับจ้าง เช่น รถกระป๊อ
ป้ายสีเหลืองสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีเขียว : รถยนต์รับจ้าง 3 ล้อ เช่น รถตุ๊กๆ
ป้ายสีเขียวสะท้อนแสงตัวหนังสือสีขาว/สีดำ : รถบริการทัศนาจร รถบริหารธุรกิจ รถบริการให้เช่า เช่น รถลีมูซีนสนามบิน
ป้ายสีส้มสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ : รถแทรกเตอร์ รถบนถนน รถพ่วง และรถที่ใช้ในทางเกษตรกรรม
ป้ายสีแดงสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ : รถยนต์ที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนสามารถใช้งานบนถนนเพียงชั่วคราว
ป้ายสีขาวไม่สะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ : รถยนต์ของผู้แทนทางการทูตขึ้นต้นด้วย ท และตามด้วยรหัสประเทศขีดแล้วตามด้วยเลขทะเบียนรถ
ป้ายสีฟ้าไม่สะท้อนแสง ตัวหนังสือสีขาว : รถเฉพาะหน่วยงานพิเศษ อักษร ก คือ คณะผู้แทนกงสุล, อักษร พ คือ หน่วยงานพิเศษในสถานทูต, อักษร อ : องค์กรระหว่างประเทศ
ป้ายทะเบียนที่มีพื้นหลังเป็นลายกราฟิก : ป้ายทะเบียนที่มีการประมูลตัวเลขชุดพิเศษ
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.recndt.com/
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ:
Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์
Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า)
โทรศัพท์ : 098-2610126 หรือ 0934083377
อีเมล : contact@iddrives.co.th
223
8 เม.ย. 2568, 09:59