บทความและความรู้


ล้างรถ ให้ถูกวิธี มีกี่ขั้นตอน

ล้างรถ ให้ถูกวิธี มีกี่ขั้นตอน วันนี้ บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด เอาใจคนรักรถยนต์ และผู้ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ โดยเฉพาะคนที่รักในการดูแลรถเป็นอย่างดี การล้างรถ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนในการดูแลรักษารถที่ดีด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะช่วยให้รถดูสะอาดแล้วยังเป็นการถนอมสีรถไปในตัวอีกด้วย แต่นั่นก็หมายถึงว่า เราจะต้องรู้จักขั้นตอนการล้างรถที่ถูกต้องด้วยนะคะ เพราะการล้างรถที่ผิดวิธีนอกจากจะทำให้รถเราไม่สะอาดแล้ว ก็อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนต่อสีของตัวรถ และอาจจะเกิดสนิมในตัวรถได้เช่นกัน การล้างรถเองสำหรับคนที่รักรถนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากพอสมควรค่ะ การที่เราล้างรถเป็นประจำจะเป็นการช่วยป้องกันคราบสิ่งปรกไม่ให้เกาะรถของเรา เพราะหากรถเราไม่ได้ล้างนานๆ ปล่อยไว้จนเกิดคราบฝั่งแน่นเอาออกยากเมื่อไหร่ บอกได้เลยว่าคงต้องเสียเงินเข้าคาร์แคร์กันอีกแน่ๆครับ ฉะนั้น มาดูกันครับว่าขั้นตอน การล้างรถให้ถูกวิธี มีกี่ขั้นตอน แต่ละขั้นตอนมีอะไรบ้าง เตรียมอุปกรณ์ล้างรถให้พร้อม การเตรียมตัวล้างรถด้วยตัวเองง่ายๆ โดยอุปกรณ์ล้างรถมีดังนี้ 1. ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างรถยนต์โดยเฉพาะน้ำยาล้างรถ 2. ฟองน้ำเนื้อละเอียดสำหรับล้างรถ 3. ผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้าชามัวร์ 4. แปรงล้างสำหรับขัดล้อรถยนต์ 5. สายยางฉีดน้ำแรงดันสูง 6. ถังน้ำจำนวน 2 ใบ เพื่อใส่น้ำยาล้างรถ และซักผ้าล้างรถ ขั้นตอนการล้างรถที่ถูกวิธี 1. ฉีดน้ำล้างคราบสกปรก การล้างรถที่ถูกวิธีในขั้นตอนนี้ ให้เริ่มต้นการดูแลรักษารถด้วยการฉีดน้ำจากบนหลังคาลงมาด้านล่างด้วยน้ำเย็น เพื่อเป็นการชะล้างคราบสกปรกที่ฝังแน่นให้อ่อนตัวลง 2. ผสมน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างรถ ควรผสมในอัตราส่วนตามคำแนะนำที่ระบุไว้บนฉลากของ ผลิตภัณฑ์ดูแลรถยนต์ เนื่องจากน้ำยาล้างรถแต่ละยี่ห้อมีอัตราส่วนการผสมไม่เท่ากัน 3. ล้างจากหลังคาลงด้านข้าง วิธีล้างรถที่ถูกต้อง ควรใช้ฟองน้ำสำหรับล้างรถทำความสะอาดจากหลังคารถไล่ลงมาด้านข้าง ส่วนบริเวณตามขอบต่างๆ และกระจกรถให้ใช้ผ้าสำลีเช็ดทำความสะอาดแทน เพราะฟองน้ำล้างรถอาจจะมีเม็ดทรายติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนจนต้องเสียเวลาลบรอยขีดข่วนรถยนต์ได้ค่ะ 4. ใช้ฟองน้ำล้างแยกส่วน วิธีการล้างรถอย่างถูกวิธีในขั้นตอนนี้ มักจะมีหลายๆ คนมองข้าม การล้างรถให้สะอาดควรจะต้องแยกฟองน้ำล้างรถตามส่วนต่างๆ ได้แก่ ฟองน้ำอันแรกใช้ทำความสะอาดหลังคารถ ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง ผ้าสำลีใช้ทำความสะอาดกระจกรถและขอบต่างๆ ฟองน้ำอีกอันใช้ล้างล้อรถ และส่วนที่มีคราบสกปรกมากๆ 5. ล้างน้ำเปล่าทันที การล้างรถที่ถูกวิธีนั้น เมื่อทำความสะอาดรถส่วนใดเสร็จแล้วต้องล้างน้ำเปล่าทันที ก่อนที่จะไปล้างส่วนอื่นต่อไป และต้องทำแบบนี้กับทุกส่วนของรถ จากนั้นจึงค่อยล้างรถยนต์ด้วยน้ำเปล่าทั้งคันอีกครั้ง 6. ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อน หากล้างรถเสร็จเรียบร้อยแล้วยังพบคราบหรือรอยเปื้อน ให้ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อนสำหรับรถโดยเฉพาะทำความสะอาดทันที 7. เช็ดรถให้แห้งทันที มาถึง วิธีล้างรถที่ถูกต้อง ขั้นตอนสุดท้ายกันแล้ว เมื่อทำความสะอาดรถเสร็จทุกขั้นตอนแล้ว ควรดูแลรักษารถด้วยการใช้ผ้าเนื้อนุ่มๆ ที่ซับน้ำได้ดี หรือผ้าชามัวร์เช็ดรถให้แห้งทันที โดยเฉพาะกระจกหน้ารถ ด้านในฝากระโปรงหลัง ด้านในบริเวณขอบประตู และด้านในฝาถังน้ำมัน เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดคราบน้ำ รวมทั้งฝุ่นที่จะมาเกาะพื้นผิวสีรถด้วยเช่นกัน ข้อควรระวังในการล้างรถ ถึงแม้การล้างรถด้วยตนเองนั้น จะทำให้คุณประหยัดรายจ่ายไปก็จริง แต่ถ้าหากคุณไม่ทราบถึงข้อควรระวังในการล้างรถเอง ที่บางคนอาจจะไม่คาดคิดว่าจะเป็นอันตรายกับรถยนต์มากขนาดนั้น ก็อาจทำให้คุณต้องเสียเงินมากกว่าเดิมก็เป็นได้ค่ะ 1. สิ่งที่ไม่ควรใช้ในการทำความสะอาดรถยนต์ คือ น้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอกเป็นอันขาดเพราะมีความเป็นด่างสูง จะให้ให้สีรถด้าน ไม่เงางาม และเกิดคราบด่างต่างๆติดกับสีรถ 2. ไม่ควรล้างรถในที่แดดจัดๆ เพราะแสงแดดจะทำปฏิกิริยากับน้ำยาล้างรถทำให้น้ำยาล้างรถระเหยเร็วเกิดไปจนเป็นคราบติดกับตัวรถ ก่อนที่จะขัดล้างรถเสร็จทั้งคัน ต้องเสียเวลากลับมาล้างใหม่อีกครั้ง 3. ไม่ควรปล่อยให้รถแห้งเองตามธรรมชาติ ในการล้างรถเองแต่ละครั้งใช้น้ำในปริมาณที่มาก จึงให้ให้น้ำเกาะอยู่กับตัวรถเป็นจำนวนมาก เมื่อให้รถแห้งเอง จะเกิดคราบน้ำเป็นจุด ทั่วตัวรถ และอาจจะเกิดสนิมกันบริเวณที่อับชื้นได้ 4. อย่าล้างรถในขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อนอยู่ เมื่อน้ำไปโดนกับความร้อนของเครื่องยนต์จะให้เกิดไอน้ำขึ้นมา เป็นการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบฉับพลันอาจจะทำให้เกิดความเสียหายกับชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ได้ 5. วัสดุอุปกรณ์ไม่มีคุณสมบัติในการล้างรถ เช่น การใช้ผ้าทั่วไปในการทำความสะอาดรถยนต์ หรือใช้ในการล้างรถ เพราะเนื้อผ้าอาจจะมีความแข็งกระด้างผ้าไม่อ่อนนุ่ม ทำให้เวลาทำความสะอาดรถยนต์ หรือเช็ดรถทำให้รถเป็นรอยได้ การล้างรถด้วยตัวเองนั้น ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดอีกต่อไป เพียงแค่ต้องทำความเข้าใจในขั้นตอนการล้างรถอย่างถูกวิธี และรู้จักการใช้อุปกรณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม เท่านี้คุณก็สามารถที่จะดูแลรถคู่ใจของคุณสะอาดเงางามเหมือนขับออกจากคาแคร์ได้แล้วค่ะ   ขอบคุณข้อมูลจาก : yellowservise.

329 16 ก.ย. 2567, 09:44

7 ประเภทแบตเตอรี่รถยนต์ที่เจ้าของรถทุกคนควรรู้

7 ประเภทแบตเตอรี่รถยนต์ที่เจ้าของรถทุกคนควรรู้ แบตเตอรี่ถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ ที่ทำหน้าที่เก็บสำรองพลังงานไฟฟ้าและคอยจ่ายไฟไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ของตัวรถ เพื่อให้เครื่องยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถทำงานได้ตามปกติ โดยแบตเตอรี่รถยนต์ที่ถูกใช้งานในปัจจุบันนั้นก็มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ซึ่งแบตแต่ละประเภทต่างก็มีข้อดีและจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป วันนี้ บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด จึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับแบตเตอรี่ทั้ง 7 ประเภทกันค่ะ ว่ามีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่โดดเด่นและแตกต่างกันอย่างไร 1.แบตเตอรี่น้ำ (WET) แบตเตอรี่น้ำ คือ แบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรดที่ถูกใช้งานในรถยนต์ทั่วไป มีส่วนประกอบภายในคือโลหะผสมระหว่างตะกั่วกับพลวง แบตเตอรี่ชนิดน้ำเป็นประเภทแบตเตอรี่ที่เหมาะสมกับคนที่ใช้งานรถเป็นประจำ มีเวลาในการดูแลรักษารถ เพราะต้องคอยตรวจสอบและเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเสมอ หากละเลยขาดการดูแล แบตเตอรี่ก็จะมีปัญหาและมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกติ ข้อดีของแบตเตอรี่น้ำ ราคาถูกเนื่องจากเป็นแบตเตอรี่มาตรฐานที่ถูกใช้งานในรถยนต์ทั่วไป มีอายุการใช้งานที่ยาวนานหากมีการดูแลรักษาแบตเตอรี่ที่ถูกต้อง  มีความทนทานต่อการประจุไฟเกินและคายประจุ ข้อเสียของแบตเตอรี่น้ำ ต้องคอยตรวจเช็กและเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเสมอ มีค่าแอมป์และค่า CCA ที่ต่ำกว่าแบตเตอรี่แห้งและแบตเตอรี่ชนิดอื่น ๆ (ในบางรุ่น) อาจมีการรั่วไหลของสารละลายภายใน หากเคลื่อนย้ายตัวแบตอย่างไม่ถูกต้อง 2.แบตเตอรี่แห้ง (SMF) แบตเตอรี่แห้งถือเป็นประเภทแบตเตอรี่ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะมันเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้งานง่าย ดูแลง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน ทำให้เหมาะกับเจ้าของรถที่ไม่มีเวลาในการดูแลรักษา ตอบโจทย์ชีวิตผู้คนในยุคปัจจุบันมากที่สุด แต่ตัวแบตมีราคาค่อนข้างสูง แพงกว่าแบตเตอรี่น้ำและแบตเตอรี่กึ่งแห้งในระดับหนึ่ง ข้อดีของแบตเตอรี่แห้ง ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ใช้งานง่าย ดูแลรักษาง่าย มีค่าแอมป์และค่า CCA ที่สูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานเท่ากันทุกลูก เพราะชาร์จไฟและเติมน้ำกรดมาเรียบร้อยจากโรงงานผลิต ข้อเสียของแบตเตอรี่แห้ง มีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าแบตเตอรี่น้ำและแบตเตอรี่กึ่งแห้ง อาจเกิดปัญหาเรื่องความชื้นเข้าไปในตัวแบตเตอรี่ หากซีลที่ปิดผนึกรระบายอากาศหลุดออก หากรูระบายอากาศของตัวแบตเกิดการอุดตัน ก็อาจส่งผลให้เกิดปัญหาแรงดันในตัวแบตเตอรี่ได้ 3.แบตเตอรี่กึ่งแห้ง (MF) แบตเตอรี่กึ่งแห้ง หรือ แบตเตอรี่ MF เป็นแบตเตอรี่ที่มีความคล้ายคลึงกับแบตเตอรี่แห้ง แต่มีรูให้สามารถเติมน้ำกลั่นได้เหมือนกับแบตเตอรี่น้ำ มีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 3 ปี ไม่จำเป็นต้องดูแลรักษาบ่อยเหมือนแบตเตอรี่น้ำ แค่หมั่นเติมน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งประเภทแบตเตอรี่ที่ใช้งานง่าย ราคาไม่สูงมาก และมีขั้นตอนการดูแลรักษาที่ไม่ยุ่งยากจนเกินไป ข้อดีของแบตเตอรี่กึ่งแห้ง ตัวแบตเตอรี่มีการป้องกันการระเหยของน้ำกลั่นภายในเป็นอย่างดี ทำให้ผู้ใช้รถไม่ต้องเสียเวลาเติมน้ำกลั่นบ่อย ๆ ความทนทานสูง มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างนานแม้จะน้อยกว่าแบตเตอรี่น้ำ ราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง ข้อเสียของแบตเตอรี่กึ่งแห้ง แม้จะมีการป้องกันการระเหยของน้ำกลั่นเป็นอย่างดี แต่ผู้ใช้รถก็ยังต้องคอยเติมน้ำกลั่นอยู่บ้างตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ อายุการใช้งานอาจไม่ยาวนานเท่าแบตเตอรี่น้ำ มีราคาที่สูงกว่าแบตเตอรี่น้ำในบางรุ่น 4.แบตเตอรี่ไฮบริด แบตเตอรี่ไฮบริด เป็นประเภทแบตเตอรี่ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากแบตเตอรี่น้ำ มีโครงสร้างภายในประกอบไปด้วยโลหะผสมระหว่างตะกั่วกับแคลเซียมเฉพาะแผ่นธาตุลบ ทำให้อัตราการระเหยของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ชนิดนี้น้อยกว่าแบตเตอรี่น้ำหลายเท่า เจ้าของรถจึงไม่ต้องเสียเวลาเติมน้ำกลั่นบ่อย เหมาะกับรถที่ใช้งานหนัก ๆ เช่น รถบรรทุก รถโดยสาร หรือรถรับจ้างทั่วไป เป็นต้น ข้อดีของแบตเตอรี่ไฮบริด มีความทนทานสูง ใช้งานได้ยาวนานโดยไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย ๆ มีค่า CCA ที่สูงกว่าแบตเตอรี่น้ำ ราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แห้ง ข้อเสียของแบตเตอรี่ไฮบริด แม้จะใช้งานได้อย่างยาวนาน แต่เจ้าของรถก็ยังต้องคอยเติมน้ำกลั่นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ มีราคาแพงกว่าแบตเตอรี่น้ำในบางรุ่น มักใช้กับรถขนาดใหญ่มากกว่ารถยนต์ธรรมดาทั่วไป 5.แบตเตอรี่เจล (GEL) แบตเตอรี่เจลเป็นประเภทแบตเตอรี่ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากแบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรด สามารถกักเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ดีกว่าแบตเตอรี่ทั่วไปถึง 20% มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพโดยรวมเหนือกว่าแบตเตอรี่น้ำ ทำให้ตัวแบตฯมีราคาที่ค่อนข้างสูงและแพงกว่าพอสมควร แบตเตอรี่ชนิดนี้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน มีความทนทานสูง ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นหรือพึ่งพาการดูแลรักษาอะไรที่ยุ่งยาก ข้อดีของแบตเตอรี่เจล ใช้งานง่าย ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น มีขั้นตอนการดูแลรักษาที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน กักเก็บพลังงานได้ดีกว่าแบตเตอรี่น้ำและแบตเตอรี่ชนิดอื่น(ในบางรุ่น) มีความสามารถในการกระจายความร้อนที่ค่อนข้างสูง ทนทานและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าแบตเตอรี่ทั่วไปหลายเท่า ข้อเสียของแบตเตอรี่เจล แม้จะมีขั้นตอนการดูแลรักษาที่ไม่ยุ่งยาก แต่เจ้าของรถก็ยังจำเป็นต้องหมั่นตรวจเช็กสภาพและทำความสะอาดตัวแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ มีราคาแพงกว่าแบตเตอรี่น้ำพอสมควร 6.แบตเตอรี่ AGM แบตเตอรี่ AGM เป็นแบตเตอรี่ชนิดใยแก้วที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อรองรับระบบรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพสูงในปัจจุบัน ถือเป็นแบตเตอรี่พร้อมใช้งานที่มีการเติมน้ำกรดและอัดไฟมาให้เรียบร้อยจากโรงงานผลิต ไม่ต้องคอยเติมน้ำกลั่น สามารถจ่ายไฟได้อย่างเสถียรและทำงานได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3-6 ปี เรามักจะพบแบตเตอรี่ชนิดนี้ในรถยุโรปรุ่นใหม่ ๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ ราคาของตัวแบตเตอรี่จึงค่อนข้างแพงและสูงกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่นพอสมควร ข้อดีของแบตเตอรี่ AGM ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน มีค่าแอมป์และค่า CCA อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้อย่างเสถียรและคงที่  มีความทนทานต่อการคายประจุไฟฟ้าที่สูง ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ชาร์จกระแสไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว ลดเวลาในการชาร์จได้หลายเท่าตัวหากเทียบกับแบตเตอรี่ชนิดอื่น ข้อเสียของแบตเตอรี่ AGM ราคาสูงเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่กรดตะกั่วทั่ว ๆ ไป ต้องหมั่นตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ เพราะหากตัวแบตเตอรี่มีปัญหา บางอย่างก็ไม่สามารถซ่อมแซมหรือแก้ไขได้ จำเป็นต้องซื้อและเปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นลูกใหม่เพียงอย่างเดียว 7.แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เป็นแบตเตอรี่ที่ถูกพัฒนาขึ้นให้มีขนาดเล็กและมีประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่น ๆ สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้นานกว่า มีอัตราการชาร์จที่รวดเร็ว พร้อมจ่ายไฟได้อย่างเสถียรและคงที่ อีกทั้งยังไม่มีส่วนประกอบที่เป็นอันตรายต่อธรรมชาติและมนุษย์ เช่น ของเหลว กรด หรือตะกั่ว เราจึงมักพบแบตเตอรี่ประเภทนี้ในรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเสียเป็นส่วนใหญ่ ข้อดีของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน น้ำหนักเบาเพราะโครงสร้างภายในของตัวแบตเตอรี่เป็น โลหะอัลคาไลน์ ที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก อายุการใช้งานยาวนาน  ให้พลังงานสูง จ่ายไฟได้อย่างคงที่ อีกทั้งยังชาร์จได้รวดเร็ว เป็นเซลล์แห้ง ไม่มีส่วนประกอบที่เป็นอันตรายต่อธรรมชาติและมนุษย์  ข้อเสียของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เป็นแบตเตอรี่ที่ถูกใช้งานในรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเสียเป็นส่วนใหญ่ ราคาสูงกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่นหลายเท่าตัว จะเห็นได้ว่าแบตเตอรี่รถยนต์ที่ถูกใช้งานในปัจจุบันนั้น มีอยู่ด้วยกันหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทต่างก็มีวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไป แต่มีอยู่หนึ่งวิธีที่สามารถนำไปใช้ได้กับแบตเตอรี่ทุกประเภทเลยก็คือ การทำให้ไฟในตัวแบตฯเต็มอยู่ตลอดเวลา เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการนำรถออกไปขับหรือใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่คอยชาร์จไฟให้กับตัวแบตเตอรี่ อย่างสม่ำเสมอ เพราะตัวแบตเตอรี่นั้นจะคลายประจุไฟตลอดเวลาในช่วงที่เราไม่ได้ขับ ทำให้ไฟในตัวแบตเตอรี่อ่อนลงเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดปัญหา รถสตาร์ทไม่ติด ซึ่งถ้าหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน แบตเตอรี่ก็จะเริ่มเสื่อมสภาพและไม่สามารถใช้งานได้ในที่สุด เพื่อป้องกันปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมจากการจอดนาน หากคุณไม่มีเวลานำรถออกไปขับ คุณควรเลือกใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ CTEK MAX 5.0 , CTEK LITHIUM, CTEK LITHIUM XS หรือ CTEK CS ONE เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ที่ขายดีที่สุดในท้องตลาด เทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะจากประเทศสวีเดน ใช้งานง่าย ปลอดภัย ไม่ต้องมีความรู้เรื่องช่างก็สามารถใช้งานได้ในทันที ใช้ได้กับแบตเตอรี่รถยนต์ทุกประเภทโดยไม่ต้องเลือกโหมดให้ยุ่งยาก มาพร้อมกับระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อชาร์จเต็ม สามารถชาร์จทิ้งไว้ได้เป็นเดือน ๆ โดยไม่ทำให้แบตเตอรี่เสีย เป็นมิตรกับระบบไฟภายในตัวรถอย่างแน่นอน    ขอบคุณข้อมูลจาก..... aprtech.co.th          

273 15 ก.ย. 2567, 12:11

รถน้ำมันหมด ไฟเตือนขึ้น วิ่งได้อีกไกลแค่ไหน ?

        ในปัจจุบัน หลายคนยังไม่รู้ว่าเมื่อเกิดปัญหารถน้ำมันหมดก่อนไปถึงที่หมายควรทำอย่างไร ก่อนที่รถน้ำมันหมดทุกครั้งจะมีสัญญาณเตือนบนหน้าปัดรถยนต์ขึ้นเป็นสีเหลืองรูปถังน้ำมัน บ่งบอกว่าน้ำมันรถจะหมดแล้ว หากฝืนขับต่อไปเรื่อย ๆ อาจทำให้เครื่องดับ และเกิดปัญหาภายหลังตามมาได้ บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด จึงมีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากที่จะช่วยให้คุณสามารถขับรถได้ไกลขึ้นกว่าเดิม เพื่อยืดเวลารถดับออกไปให้คุณสามารถหาปั๊มเพื่อเติมน้ำมันรถได้ทันเวลานั่นเอง เพราะปัญหารถน้ํามันหมดเร็ว เป็นอีกปัญหาหลักที่หนีกันไม่พ้นสำหรับผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ หลายคนเมื่อเจอปัญหานี้ ต่างก็รีบปักหมุดหาปั๊มน้ำมันกัน โชคดีหน่อยก็อาจเจอเร็ว แต่ถ้าไม่ปั๊มน้ำมันอยู่ไกลก็อาจเจอปัญหารถดับ ต้องเหนื่อยตามเข็นหาปั๊มให้วุ่นวาย คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นการรู้เคล็ดลับในการช่วยยืดระยะทางการขับรถออกไปให้ได้ไกลขึ้น ก่อนรถดับต้องเข็น คงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้รถใช้ถนนไม่ใช่น้อย เมื่อมีไฟเตือน รถน้ำมันหมด ยังวิ่งได้อีกกี่กิโลเมตร หลายคนอาจสงสัยเหมือนกันใช่ไหมว่า รถยนต์ในท้องตลาดแต่ละรุ่นเมื่อเจอปัญหา รถน้ำมันหมด หากยังวิ่งต่อไปได้สามารถวิ่งได้อีกกี่กิโลเมตร จากข้อมูลที่เราได้รวบรวมมาทั้งหมด บอกได้เลยว่า โดยปกติแล้วรถในท้องตลาดส่วนใหญ่ เมื่อเจอปัญหาน้ำมันหมด รถยนต์ในสมัยนี้จะมีสัญญาณเตือนให้เติมน้ำมันขึ้นเป็นสีเหลืองรูปถังน้ำมัน สัญญาณเตือนน้ํามันหมดนี้ จะเตือนก็ต่อเมื่อน้ำมันในถังเหลือน้อยกว่า 10 ลิตร หากดูตรงเข็มหน้าปัดรถยนต์จะมีการคำนวณบอกด้วยว่าสามารถขับต่อไปได้อีกกี่กิโลเมตร และจะลดลงไปเรื่อย ๆ จนเหลือ 0 กิโลเมตร ซึ่งรถยนต์แต่ละคันมีระยะทางการขับขี่ไม่เท่ากัน แต่สำหรับรถรุ่นเก่าจะไม่มีการคำนวณบอกว่าสามารถขับต่อไปได้อีกกี่กิโลเมตร เมื่อขึ้นสัญญาณเตือนน้ำมันหมด ต้องหาปั๊มให้ได้ภายในรัศมี 30 กิโลเมตร ฟีเจอร์คำนวณระยะทางหลังไฟเตือนรถน้ำมันหมด ช่วยได้มากน้อยแค่ไหน จริงอยู่ที่รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ในยุคปัจจุบันมีตัวช่วยในการคำนวณระยะทางให้ผู้ขับขี่รู้ว่ารถสามารถวิ่งได้อีกกี่กิโลเมตร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารถน้ำมันหมด หากหน้าปัดรถยนต์ระบุว่ายังวิ่งได้อีก 20-30 กิโลเมตร แต่จะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน การคำนวณจะตรงตามระยะทางที่รถวิ่งได้จริงหรือไม่ ทางเราเองก็ยังระบุให้รู้แบบชัดเจนไม่ได้ ทางสื่อยานยนต์ของอังกฤษ ‘The Sun’ ได้ออกมาเปิดเผยว่า “ตัวเลขนบนหน้าปัดรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันที่ช่วยบอกระยะทางที่เหลือหลังจาก ไฟเตือนน้ำมันหมดขึ้นนั้น มาจากการคำนวนอัตราการบริโภคน้ำมันโดยเฉลี่ยที่เจ้าของรถขับก่อนหน้านี้ ทำให้บางครั้งตัวเลขที่ระบุระยะทางการวิ่งนั้นอาจไม่ถูกต้องกับสภาพการขับขี่จริง ๆ ณ เวลานั้น” 8 รุ่นรถยอดนิยมในประเทศอังกฤษกับระยะทางที่ยังขับต่อได้ ผลสำรวจจากบริษัทประกันภัยชั้นนำของอังกฤษซึ่งได้นำรถยนต์รุ่นที่ชาวอังกฤษนิยมซื้อใช้ มาจัดอันดับระยะทางที่รถยนต์วิ่งไปได้เมื่อรถน้ำมันหมด โดยเริ่มวัดระยะเมื่อไฟแจ้งเตือนน้ำมันติดขึ้น ผลที่ออกมาบอกว่าอันดับที่ 1 ที่สามารถวิ่งได้ไกลที่สุด สามารถวิ่งได้ไกลถึง 74 กม. รถรุ่นนั้นคือ Mercedes-Benz C-Class ส่วนลำดับถัดไปมีดังนี้ Mercedes-Benz C-Class: 74 กม. Mini Cooper: 72 กม. Nissan Qashqai: 69 กม. Volkswagen Golf: 67 กม. Audi A3: 67 กม. Ford Focus: 64 ไมล์ Volkswagen Polo: 62 กม. Ford Fiesta: 59 กม. สำหรับรถรุ่นอื่น ๆ ทั่วไปในท้องตลาด จากผลสำรวจแห่งเดียวกันระบุว่า เมื่อไฟแจ้งเตือนรถน้ำมันหมดติดขึ้น รถยนต์ทั่วไปก็ยังคงสามารถขับไปได้อยู่จนกว่าน้ำมันที่มีจะเกลี้ยงถัง ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะสามารถขับไปได้อีก 40 – 50 กม. อย่างไรก็ตาม ผู้ขับขี่ก็ไม่ควรรอจนน้ำมันเกลี้ยงถัง เมื่อมีไฟแจ้งเตือน หรือ หากให้ดีคือก่อนขึ้นไฟแจ้งเตือน ควรรีบหาปั๊มที่ใกล้ที่สุดทันที ควรคำนวณระยะทางให้พอดีที่จะถึงปั๊มน้ำมันต่อไป ไฟเตือนรถน้ำมันหมดขึ้นบ่อย ๆ ต้องคอยเช็คดี ๆ      การปล่อยให้เกิดไฟเตือนรถน้ำมันหมดขึ้นบ่อย ๆ ไม่ได้ดีอย่างที่คิด เพราะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคอยระมัดระวัง ผู้ขับขี่ต้องคอยเช็คดี ๆ เพราะน้ำมันที่เหลือน้อยจนไฟสัญญานเตือนนั้นหมายถึง ‘ปั๊มติ๊ก’ หรือตัวปั๊มที่ทำหน้าที่ในการดูดน้ำมันจากถังส่งไปเลี้ยงเครื่องยนต์เพื่อใช้ในการจุดระเบิดจะต้องทำงานหนักกว่าปกติ หากปั๊มติ๊กทำงานหนัก ปั๊มติ๊กจะร้อนเกินไปอาจส่งผลให้ปั๊มติ๊กพัง ใช้งานไม่ได้ เติมน้ำมันไปแต่รถก็สตาร์ทไม่ติด ไปจนถึงอาจส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ในระยะยาวอีกด้วย หากคุณไม่อยากให้เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นกับรถของคุณ ควรหมั่นตรวจเช็คปั๊มติ๊ก และอย่าให้เกิดไฟเตือนรถน้ำมันหมดบ่อย ๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ วิธีปฎิบัติเมื่อไฟเตือนรถน้ำมันหมดโชว์ขึ้นมา      นี่เป็นวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยยืดระยะเวลารถดับออกไปได้ เมื่อไฟเตือนรถน้ำมันหมด สิ่งแรกที่ต้องทำคือ พยายามทำให้รถใช้พลังงานน้ำมันน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างเช่น ปิดแอร์ หรือขับขี่ในอัตราเร่งคงที่เพื่อลดพลังงานที่ใช้น้ำมันน้อยลง ประมาณว่าใช้น้ำมันทุกหยดอย่างคุ้มค่า เป็นการเซฟให้ได้ระยะทางที่ไกลมากขึ้น เซฟน้ำมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่น้ำมันมีเหลืออยู่ในถังจะทำได้ แต่วิธีที่ดีที่สุดถ้าไม่อยากเจอปัญหารถน้ำมันหมด ควรเติมน้ำมันไว้ให้เต็มถังอยู่ตลอดเวลาจะดีกว่า เมื่อเห็นว่าน้ำมันรถเหลือน้อยก็แวะปั๊มเติมให้เต็มไว้ทันที ปลอดภัยสุด ไม่ต้องคอยกังวลว่าเครื่องยนต์จะดับแล้วต้องวนหาปั๊มก่อนที่เครื่องยนต์จะดับเพื่อทำเวลา และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อไฟเตือนน้ำมันหมด คือ ควบคุมความเร็วของรถให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ พยายามควบคุมความเร็วให้คงที่ เพื่อเป็นการลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง โดยข้อควรปฏิบัติเมื่อน้ำมันใกล้หมด มีดังนี้ หาปั๊มที่ใกล้ที่สุดเพื่อเติมน้ำมัน พยายามหาปั๊มที่อยู่ในรัศมีไม่เกิน 30-40 กม. อย่าเบรกบ่อย หรือ ลดความเร็วโดยไม่จำเป็น เพราะการเบรก ลด หรือเร่งความเร็วบ่อย ๆ จะทำให้ใช้พลังงานจากน้ำมันมากขึ้น พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าภายในรถทั้งหมด เพื่อลดพลังงานแบตเตอรี่ เช่น ปิดแอร์ ปิดวิทยุ เนื่องจากมีส่วนทำให้น้ำมันหมดเร็วเช่นกัน ปิดกระจก เพื่อไม่ให้ลมจากภายนอกเข้ามาภายในรถยนต์ เพราะลมที่เข้ามาจะทำให้มีอากาศในรถมากขึ้น ส่งผลให้รถต้องใช้แรงวิ่งมากขึ้นเพราะมีมวลอากาศอยู่ด้านใน หลีกเลี่ยงถนนที่มีการจราจรติดขัด หรือ เส้นทางที่มีหลุมบ่อ เพื่อลดการใช้พลังงานของเครื่องยนต์ หากน้ำมันหมดขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรดี?       ก่อนที่เครื่องยนต์จะดับจากสาเหตุ น้ำมันรถหมด จะมีอาการให้สังเกตุดังนี้ รถยนต์จะเกิดการกระตุกเหมือนเครื่องจะดับ เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ให้รีบขับรถไปยังพื้นที่ปลอดทันที หากขับอยู่เลนกลางให้ตบซ้ายชิดขอบฟุตบาททันที หรือหากอยู่บนทางด่วนแล้วเครื่องดับ ให้รีบโทรแจ้ง 1543 สายด่วนการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ 1586 สายด่วนกรมทางหลวงได้เลยทันที หรืออีกช่องทางจาก Roadside Assistance ของรถที่คุณขับขี่ได้เช่นกัน สุดท้ายนี้ สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ํามันรถหมด ควรเติมน้ำมันให้เต็มถังไว้เสมอ หากเกิดปัญหาน้ำมันรถหมดจริง ๆ ก็สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ในการขับขี่ได้ ปลอดภัย มีประโยชน์แน่นอน

412 16 ก.ย. 2567, 21:30

5 เทคนิคการขับรถเพื่อถนอมเครื่องยนต์ที่ผู้ใช้รถทุกคนควรรู้

        รถยนต์เป็นยานพาหนะที่มีการเสื่อมสภาพและเกิดการสึกหรออยู่ตลอดเวลา ยิ่งตัวรถมีอายุการใช้งานนานเท่าไหร่ เจ้าของรถก็จำเป็นที่จะต้องตรวจเช็กสภาพและคอยดูแลรถอย่างสม่ำเสมอมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนอกจากปัจจัยภายนอกที่เราต้องคอยระมัดระวังแล้ว มันยังมีปัจจัยอื่น ๆ อย่างนิสัยหรือความเคยชินในการขับรถ ที่เป็นสาเหตุหลักของปัญหามากมายที่อาจเกิดขึ้น เช่น ยางรถเสื่อมสภาพ, ระบบเบรกมีปัญหา หรือ อาการรถสตาร์ทไม่ติด เป็นต้น และเพื่อไม่ให้รถยนต์สุดที่รักของคุณต้องเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร เรา บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด จึงได้รวบรวมเทคนิคการขับรถเพื่อถนอมเครื่องยนต์และชิ้นส่วนภายใน มาให้ทุกคนได้อ่านและลองศึกษากันดูนะคะ 1. ไม่ใช้ความเร็วที่มากเกินไป การขับรถเร็วนอกจากจะทำให้เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว มันยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชิ้นส่วนภายในของตัวรถเกิดการสึกหรอและเสื่อมสภาพไวขึ้น เพราะเครื่องยนต์จะทำงานหนักและรับภาระมากขึ้นเกินความจำเป็น นอกจากนี้การเร่งความเร็วรถยังทำให้เครื่องยนต์ใช้เชื้อเพลิงมากกว่าปกติ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและปล่อยมลพิษมากขึ้นอีกด้วย  ดังนั้นเพื่อเป็นการถนอมเครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ คุณควรขับรถในความเร็วที่เหมาะสมหรือใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้รถของคุณมีอายุการใช้งานที่ยาวนานไม่สึกหรอและเสียหายก่อนเวลาอันควรค่ะ 2. ไม่เหยียบเบรกกะทันหันบ่อย ๆ การเหยียบเบรกกะทันหันมีความเสี่ยงที่จะทำให้เราสูญเสียการควบคุมรถจนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ในขณะเดียวกันมันก็อาจทำให้เบรก เกิดความเสียหายและเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร ดังนั้นหากคุณต้องการถนอมผ้าเบรกให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน คุณก็จำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับรถเสียใหม่ พยายามผ่อนความเร็วทุกครั้งก่อนการเหยียบเบรก หลีกเลี่ยงการเหยียบเบรกกะทันหันหรือเหยียบเบรกจนมิดหากไม่ฉุกเฉินจริง ๆ เพราะนอกจากจะช่วยลดการสึกหรอของผ้าเบรกได้แล้ว เทคนิคนี้ยังช่วยให้คุณขับรถได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้นอีกด้วย  3. ใช้ความเร็วที่เหมาะสมเมื่อขับรถบนถนนลูกรัง   หากเราจำเป็นต้องขับรถบนถนนลูกรังตามต่างจังหวัดหรือในสถานที่ที่ห่างไกล เราควรขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสม อย่าใช้ความเร็วหรือเร่งความเร็วมากจนเกินไป เพราะสภาพถนนที่ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อและเต็มไปด้วยอุปสรรคนั้น อาจส่งผลให้รถของคุณเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดความเสียหายได้ แรงกระแทกอาจทำให้ระบบช่วงล่วงสึกหรอเร็วขึ้น ล้อรถที่กระแทกขอบหลุมอาจคดได้และยางรถมีโอกาสยางแตกและรั่วได้ ดังนั้นหากเราไม่ต้องการให้ยางรถเสื่อมสภาพหรือเกิดความเสียหายก่อนเวลาอันควร คุณก็ควรหลีกเลี่ยงการขับรถบนถนนลูกรังหรือบนถนนที่มีอุปสรรคตั้งแต่แรก หรือถ้าหากคุณเลี่ยงไม่ได้ก็ควรขับรถในความเร็วที่เหมาะสม ค่อย ๆ ขับ ค่อย ๆ ดูทาง พยายามขับเคลื่อนรถด้วยความระมัดระวังมากที่สุดครับ 4. อุ่นเครื่อง 2-3 นาทีหลังสตาร์ท หลังสตาร์ทเครื่องยนต์ ไม่ควรเหยียบคันเร่งออกไปทันที เพราะจะทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วขึ้น ควรอุ่นเครื่องให้เครื่องร้อนและระบบภายในเครื่องยนต์ทำงานจนเข้าที่ก่อน โดยสังเกตได้จากเกจ์วัดความร้อนบนหน้าปัทม์หากรีบหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรขับเบาๆอย่าเพิ่งเหยียบคันเร่งมากเกินไปขับเบาๆจนเครื่องร้อนก่อน เพื่อให้เครื่องยนต์และระบบเกียร์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานไม่เสียหายก่อนเวลาอันควรค่ะ 5. จอดรถแช่ 2-3 นาทีก่อนดับเครื่อง          หากคุณกำลังเดินทางไกลแล้วต้องจอดแวะพักที่จุดพักรถ คุณควรจอดรถแช่ไว้สัก 2-3 นาทีเพื่อให้เครื่องยนต์ทำการปรับสภาพและมีอุณหภูมิลดลงเล็กน้อยก่อนดับเครื่อง เพราะมันจะทำให้ระบบการทำงานภายในมีการปรับตัวและค่อย ๆ ผ่อนคลายลงหลังจากทำงานมาอย่างหนัก วิธีนี้จะช่วยให้เครื่องยนต์และระบบการทำงานที่เกี่ยวข้องมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ไม่สึกหรอหรือเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร นอกจากเทคนิคการขับรถที่ควรนำไปใช้เพื่อช่วยถนอมเครื่องยนต์แล้ว การดูแลรักษาและเตรียมรถให้พร้อมอยู่ตลอดเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม หากคุณเป็นเจ้าของรถสายจอดที่ไม่มีเวลานำรถออกไปขับ คุณก็ควรใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่คอยชาร์จไฟให้เต็มอยู่เสมอ เพื่อป้องกันปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมจากการจอดนาน ช่วยให้ แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานไม่ต้องเปลี่ยนแบตใหม่บ่อย ๆ ให้สิ้นเปลืองครับ พร้อมป้องกันปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมจากการจอดนานที่ต้นเหตุด้วย เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์  CTEX MXS 5.0 เครื่องชาร์จแบตเตอรี่อัจฉริยะที่ขายดีที่สุดในท้องตลาด เทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะจากประเทศสวีเดน ใช้งานง่าย ปลอดภัย ไม่ต้องมีความรู้เรื่องช่างก็สามารถใช้งานได้ในทันที มาพร้อมกับระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อชาร์จเต็ม สามารถชาร์จทิ้งไว้ได้เป็นเดือน ๆ โดยไม่ทำให้แบตเตอรี่เสีย เป็นมิตรกับระบบไฟฟ้าภายในตัวรถอย่างแน่นอน     ขอบคุณข้อมูลจาก : aprtech.co.th

261 16 ก.ย. 2567, 05:58

ตรอ. คืออะไร ? ทำไมต้องตรวจสภาพรถยนต์ก่อนต่อภาษี

ตรอ. คืออะไร ? ทำไมต้องตรวจสภาพรถยนต์ก่อนต่อภาษี หลายคนสงสัยว่าทำไมต้องตรวจสภาพรถทุกปี เพื่ออะไรและถ้าจะตรวจต้องทำอย่างไรบ้าง วันนี้บริษัท ไอดีไดรฟ์ จำกัด จะพามาทำความรู้จักว่า  ตรอ. คืออะไร ?  ตรอ. ย่อมาจากคำว่า  #สถานตรวจสภาพรถเอกชน ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เปิดให้ผู้ใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์นำรถของตนเองเข้ามาตรวจสภาพรถก่อนจะนำไปต่อภาษีได้ในกรณีที่ไม่สะดวกนำรถเข้าไปตรวจสภาพที่กรมขนส่งทางบกนั่นเองค่ะ เหมาะสำหรับคนที่มีบ้านไกล หรือไม่สะดวกขับรถไกลๆ และสถานตรวจสภาพรถที่มีสัญลักษณ์ ตรอ. ก็แสดงว่าได้รับอนุญาตจากกรมขนส่งทางบกเรียบร้อยแล้วค่ะ นอกจากนี้ การตรวจ ตรอ. คือสิ่งที่จำเป็นเนื่องจากเป็นการตรวจเพื่อรับรองว่ายานพาหนะที่ใช้นั้นมีความปลอดภัย มีสภาพที่พร้อมใช้งานเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้        การตรวจสภาพรถยนต์คือสิ่งที่ผู้ใช้รถทุกคนต้องทำเป็นประจำอยู่แล้ว เพื่อให้รถอยู่ในสภาพดีและยังเป็นการยืดอายุการใช้งานของรถอีกด้วย โดยปกติแล้วการตรวจสภาพรถยนต์จะต้องตรวจเช็กตามระยะทางการใช้งานหรืออายุการใช้งานของรถ แต่เมื่อรถยนต์มีอายุการใช้งานที่มากขึ้น ตามกฎหมายกำหนดว่าจะต้องให้เจ้าของรถนำรถไปตรวจสภาพทุกปีก่อนจึงจะสามารถต่อภาษีหรือพ.ร.บ. รถยนต์ได้ การตรวจแบบนี้ หลายๆ คนมักจะเรียกกันว่า ตรวจตรอ. วันนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์จึงจะพาทุกคนไปรู้จักกับการตรวจสภาพรถยนต์เพื่อต่อภาษีประจำปี (ตรอ.) พร้อมบอกขั้นตอนและวิธีการเตรียมตัวในการตรวจ ตรอ. ให้พร้อมกันเลยค่ะ รถกี่ปีต้องตรวจตรอ. พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ได้บัญญัติไว้ว่ารถสำหรับการใช้ขนส่งจะต้องมีสภาพที่มั่นคงแข็งแรง และลักษณะต่างๆ ของรถยนต์จะต้องถูกต้องตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ดังนั้นจึงมีกฎขึ้นมาว่ารถที่มีอายุการใช้งานค่อนข้างเยอะจำเป็นต้องนำรถไปตรวจตรอ.ทุกปี และสำหรับรถที่เข้าเกณฑ์การตรวจตรอ. ก็มีรายการดังนี้ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปี ขึ้นไป รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปี ขึ้นไป รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปี ขึ้นไป รถจักรยานยนต์ ที่มีอายุใช้งานครบ 5 ปี ขึ้นไป และสำหรับการนับอายุยานพาหนะที่เข้าเกณฑ์การตรวจตรอ. สามารถนับจากวันจดทะเบียนครั้งแรกถึงวันสิ้นสุดภาษีประจำปี (หรือก็คือวันครบกำหนดเสียภาษีประจำปี) เช่น หากรถยนต์มีการจดทะเบียนปี 2567 จะต้องเริ่มตรวจตรอ. ในปี 2574 นั่นเอง รถที่ตรวจตรอ. ไม่ได้ รถบางประเภทมีข้อจำกัดและเงื่อนไขที่ทำให้ตรวจตรอ. ไม่ได้ จำเป็นต้องนำรถไปตรวจสภาพที่หน่วยงานของกรมขนส่งทางบกเท่านั้น โดยยานพาหนะที่มีข้อยกเว้น ได้แก่ รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 1,600 กิโลกรม จะตรวจสภาพที่ ตรอ. หรือหน่วยงานของกรมการขนส่งทางบกก็ได้ รถของส่วนราชการ บุคคลในคณะผู้แทนทางการฑูต คณะผู้แทนทางกงสุล องค์การระหว่างประเทศ ฯลฯ จะตรวจสภาพที่ ตรอ. หรือหน่วยงานของกรมการขนส่ง ก็ได้ รถที่มีการดัดแปลงสภาพ รถที่เปลี่ยนสี เปลี่ยนเครื่องยนต์ รถที่มี ปัญหาเกี่ยวกับเลขตัวรถหรือเลขเครื่องยนต์ รถที่ขาดต่ออายุ ทะเบียนเกิน 1 ปี ฯลฯ (รายละเอียดตามข้อ 6) ให้นำรถไปตรวจ สภาพ ณ หน่วยงานของกรมการขนส่งทางบก เอกสารที่ต้องเตรียมเพื่อตรวจตรอ. สำหรับการเตรียมตัวนำรถไปตรวจตรอ. ต้องเตรียมสมุดทะเบียนรถไปด้วย และสามารถนำรถเข้าไปตรวจสภาพได้เลย หากตรวจตรอ.ผ่านก็จะได้รับใบรับรองการตรวจสภาพรถตามแบบที่กรมขนส่งทางบกกำหนดไว้ และสามารถนำใบนั้นไปต่อพรบ. รถยนต์ได้เลย โดยใบรับรองการตรวจสภาพรถนี้จะมีอายุการใช้งาน 3 เดือน ตรอ. ตรวจอะไรบ้าง ในการตรวจ ตรอ. มีรายละเอียดในการตรวจหลายอย่างเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่ายานพาหนะมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่ปลอดภัย เราลองมาดูคร่าวๆ ดีกว่าว่าการตรวจตรอ.มีรายละเอียดการตรวจอะไรบ้าง เพื่อให้สามารถเตรียมและตรวจเช็กรถเองได้เบื้องต้นกันเลย ตรวจความถูกต้องของข้อมูลรถ : ข้อมูลต่างๆ ต้องตรงกับสมุดทะเบียนรถ ไม่ว่าจะเป็น แผ่นป้ายทะเบียนรถ, ลักษณะรถ, แบบรถ, สีรถ, หมายเลขตัวรถ, ชนิดเครื่องยนต์, เลขเครื่องยนต์, และชนิดเชื้อเพลิง ตรวจสภาพภายในและภายนอกของรถ เช่น สภาพตัวถัง, การทำงานของอุปกรณ์ความปลอดภัย, เข็มขัดนิรภัย, ระบบไฟ, พวงมาลัย, ที่ปัดน้ำฝน ตรวจสภาพใต้ท้องรถ ซึ่งจะเป็นการตรวจสอบการทำงานของระบบบังคับเลี้ยว ระบบเบรก เครื่องยนต์ ระบบไอเสีย และระบบเชื้อเพลิง ตรวจสอบประสิทธิภาพของเบรก ทำการทดสอบประสิทธิภาพบนลูกกลิ้ง ดังนี้ แรงห้ามล้อขณะจอดทุกล้อรวมกัน ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของนำหนักตัวรถ แรงห้ามล้อหลัดทุกล้อรวมกัน ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของนำหนักตัวรถ ผลต่างของแรงห้ามล้อหลักด้านขวาและด้านซ้ายต้องไม่เกินร้อยละ 25 ของแรงห้ามล้อสูงสุดในเพลานั้น ตรวจสอบไฟหน้า โดยวัดจากทิศทางเบี่ยงเบนและค่าความเข้มของแสง ดังนี้ โคมไฟแสงพุ่งต่ำ มุมกดจากแนวราบระหว่างร้อยละ 0.5 (0.29 องศา) ถึงร้อยละ 4.0 (2.29 องศา) ความเข้มส่องสว่างดวงไฟแต่ละดวงไม่น้อยกว่า 6,400 แคนเดลลา (cd) และทิศทางไม่เบี่ยงเบนไปด้านขวา โคมไฟแสงพุ่งไกล ความเข้มส่องสว่างดวงไฟแต่ละดวงไม่น้อยกว่า 12,000 แคนเดลลา (cd) และทุกดวงรวมกันต้องไม่เกินกว่า 430,000 แคนเดลลา (cd) และทิศทางไม่เบี่ยงเบนไปด้านขวา และไม่สูงเกินกว่าเส้นแนวราบ ตรวจวัดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และก๊าซไฮโดรคาร์บอน โดยมีรายละเอียดดังนี้ จดทะเบียนก่อน 1 พ.ย. 2536 ค่าก๊าซ CO ไม่เกินร้อยละ 4.5 และค่าก๊าซ HC ไม่เกิน 600 ส่วนในล้านส่วน จดทะเบียน 1 พ.ย. 2536 – 31 ธ.ค. 2549 ค่าก๊าซ CO ไม่เกินร้อยละ 1.5 และค่าก๊าซ HC ไม่เกิน 200 ส่วนในล้านส่วน รถยนต์อื่น นอกเหนือจากข้อก่อนนี้ ที่จดทะเบียนก่อน 1 ม.ค. 2550 ค่าก๊าซ CO ไม่เกินร้อยละ 4.5 และค่าก๊าซ HC ไม่เกิน 600 ส่วนในล้านส่วน รถยนต์ที่จดทะเบียนตั้งแต่ 1 ม.ค. 2550 เป็นต้นไป ค่าก๊าซ CO ไม่เกินร้อยละ 0.5 และค่าก๊าซ HC ไม่เกิน 100 ส่วนในล้านส่วน ตรวจควันดำในรถเครื่องยนต์ดีเซลโดยใช้กระดาษกรอง ต้องไม่เกิน 50% และความทึบแสงต้องไม่เกิน 45% ตรวจวัดเสียงต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล ทำอย่างไรหากตรวจตรอ. ไม่ผ่าน หากตรวจ ตรอ. ครั้งแรกแล้วไม่ผ่านก็ไม่ต้องกังวลไป เนื่องจากตรอ.จะแจ้งข้อบกพร่องต่างๆ มาให้กลับไปแก้ไขแล้วให้นำรถมาตรวจสภาพใหม่ได้ สาเหตุที่พบได้บ่อยคือรถควันดำหรือมีสภาพไม่พร้อมใช้งาน เช่น ระบบเบรก ทำงานไม่ดี เมื่อรู้ข้อบกพร่องที่ว่าแล้วก็นำรถไปแก้ไขจากนั้นก็นำรถกลับไปตรวจสภาพที่ ตรอ. เดิมได้ใน 15 วัน โดยเสียค่าบริการแค่ครึ่งเดียว แต่หากเกินกว่า 15 วันหรือนำรถไปตรวจตรอ. ที่อื่นจะต้องเสียค่าบริการเต็มจำนวน การตรวจ ตรอ.คือขั้นตอนที่จำเป็นของผู้ใช้รถ ดังนั้นผู้ใช้รถทุกคนควรตรวจสอบ เตรียมพร้อม และศึกษาข้อมูลให้ดี เพื่อการใช้งานของรถอย่างปลอดภัยและถูกต้องกันค่ะ   ขอบคุณข้อมูลและเครดิตภาพจาก Web: carsome.co.th

243 16 ก.ย. 2567, 07:58


Scroll to Top